
ข่าวใหญ่ในแวดวงสื่อสารโทรคมนาคมและโซเชียลทั่วโลก ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หากไม่ถูกกระแสสงครามระหว่างไทย-กัมพูชากลบไปเสียก่อน ก็คือ.. “เรื่องที่รัฐบาลออสเตรเลียเป็นประเทศแรกของโลก ที่บังคับใช้กฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้ "โซเชียลมีเดีย" โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม เป็นต้นมา”..
…
ห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากข่าวคราวการเปิดยุทธการเอาคืนกัมพูชาอย่างสาสมของฝ่ายทหารตลอดแนวพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ส่อจะขยายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์อยู่รอมร่อ ตามเป้าหมายฝ่ายทหารที่อ้างว่าเพื่อทำลายศักยภาพทางการรบของฝั่งเขมรให้ "สิ้นสภาพ" ไม่เป็นภัยคุกคามกับประเทศไทยเราได้อีก
อีกข่าวใหญ่ในแวดวงสื่อสารโทรคมนาคมและโซเชียลทั่วโลกที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หากไม่ถูกกระแสสงครามระหว่างไทย-กัมพูชากลบไปเสียก่อนก็คือ.. “เรื่องที่รัฐบาลออสเตรเลียเป็นประเทศแรกของโลก ที่บังคับใช้กฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้ "โซเชียลมีเดีย" โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม เป็นต้นมา”..

กฎหมายดังกล่าวบังคับให้บริษัทโซเชียลมีเดียต้องสร้างระบบที่สามารถตรวจจับเด็กที่พยายามจะเข้าใช้บริการของพวกเขา ที่ครอบคลุมเกือบทุกแพลตฟอร์มหลักๆ ทั้ง TikTok, YouTube, Instagram และ Facebook (น่าจะยังคงเหลือแต่แพลตฟอร์มวีดีโอเกมแล้วกระมัง) ตามจุดประสงค์ของรัฐบาล คือ… ปกป้องเยาวชนคนรุ่นใหม่จากคอนเทนต์ที่เป็นอันตรายในโลกออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มที่ไม่ปฏิบัติตามอาจต้องเผชิญกับค่าปรับที่สูงถึง 31.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 100 ล้านบาทเลยทีเดียว
เบื้องหลังการออกกฎหมายสุดเข้มข้นที่ว่านี้ นัยว่าได้อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2023 ซึ่งรัฐบาลได้ว่าจ้างให้ทำการสำรวจวิจัย และพบว่า 4 ใน 5 ของเด็กเยาวชยอายุระหว่าง 8-16 ปีนั้น ใช้งานโซเชียลมีเดีย และเริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงอายุเพียง 10-12 ปี
งานวิจัยยังชี้ว่า ปัจจุบันโลกออนไลน์ส่งผลกระทบต่อพวกเขาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแสวงประโยชน์จากเด็ก การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลออสเตรเลียต้องตัดสินใจ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ออกกฎหมายห้ามเด็กและเยาวชนเข้าถึงโซเชียลมีเดียกันไปเลย
แม้มาตรการอันเข้มงวดของออสเตรเลียจะก่อให้เกิดข้อวิพากษ์อย่างกว้างขวางว่า เป็นมาตรการที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นมาตรการ "เกาไม่ถูกที่คัน" ที่อาจเป็นการปิดกั้นโอกาสในการเข้าถึงทักษะการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของเด็กและเยาวชน จนอาจจะทำให้เด็กเยาวชนตามไม่ทันเล่ห์กลของกลโกงในโลกยุคใหม่
แต่อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลียให้ความสำคัญกับการปกป้อง คุ้มครองวิถีชีวิตของเด็กและเยาวชนคนออสเตรเลียเป็นที่ตั้ง และการตัดสินใจออกกฎหมายหรือมาตรการที่เข้มงวดดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลงานวิจัยอย่างแท้จริง

ชำเลืองดูไทย..ปกป้องเด็กและเยาวชนแค่ไหน?
ชำเลืองดูประเทศไทยเราบ้าง อย่าว่าแต่การออกมาตรการปกป้องเด็กและเยาวชนในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย แม้แต่การไฟเขียวการ "ควบรวมกิจการ" บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมยักษ์ของประเทศก่อนหน้าเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่มีทั้งรายงานผลศึกษา ผลงานวิจัย และตัวอย่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ "กองพะเนิน" อยู่ตรงหน้าหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง คือ กสทช.
ไม่เพียงหน่วยงาน กสทช. จะไม่ยี่หร่ะต่อรายงานผลศึกษา และงานวิจัยเหล่านั้นนหรือใช้ข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจ ยัง "แถกเหงือก" ไปในลักษณะที่อ้างว่า กสทช. ไม่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติ หรือไม่อนุมัติคำขอควบรวมกิจการอะไรที่ว่าด้วยอีก ทำราวกับว่า การประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ว่าเป็นเหมือนธุรกิจแฟรนไชส์ข้าวมันไก่ หรือ "ชายสี่หมี่เกี๊ยว" ที่ใครก็ทำได้ หน่วยงานรัฐอย่าง กสทช. ไม่มีอำนาจจะเข้าไปกำกับดูแลเสียอย่างนั้น
ทำให้ที่ผ่านมา กสทช. ถูกสัพยอก "มีก็เหมือนไม่มี" มาโดยตลอด

ล่าสุด เมื่อมีกระแสเรียกร้องให้ กสทช. ได้เข้ามากำกับดูแลบริการบนโครงข่ายหลักที่เป็นบริการ OTT ที่เข้ามาเขย่าตลาดสื่อสารโทรคมนาคมและบรอดคาสต์จนแทบจะเสียศูนย์ในช่วงที่ผ่านมา ก็เกิดปัญหาเป็นดราม่าอีหรอบเดิมว่า ตกลงแล้ว กสทช. มีอำนาจกำกับดูแลหรือไม่ ทำอะไรได้บ้าง (นอกจากนั่งหายใจรวยรินไปวันๆ)
เพราะก่อนหน้านี้ "นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ประธาน กสทช. เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อยืนยันว่า กฎหมาย กสทช. ปัจจุบันไม่มีอำนาจกำกับดูแลโอทีที เพราะกฎหมายระบุชัดว่า บทบาทหน้าที่ของ กสทช. คือ การกำกับดูแล กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม

แต่บริการ โอทีที ไม่ใช่ “การแพร่ภาพและกระจายเสียง” แบบเข้าถึงทุกคนพร้อมกัน ดูเนื้อหาเหมือนกัน แต่เป็นลักษณะการนำเสนอคอนเทนต์แบบ “Narrowcasting” คือผู้ใช้เลือกเนื้อหาด้วยตนเองผ่านอัลกอริทึม จึงแตกต่างจากการแพร่ภาพกระจายเสียงแบบดั้งเดิมที่เน้นการส่งเนื้อหาไปยังผู้ชมในวงกว้าง จึงเป็น "วาระแห่งชาติ" ที่รัฐบาลต้องเป็นผู้พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย หรือออกกฎหมายใหม่ผ่านสภาเพื่อให้อำนาจการกำกับชัดเจนและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงต้องดูถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะแพลตฟอร์มโอทีทีที่อยู่ต่างประเทศว่า ประเทศไทยประเทศเดียวจะมีอำนาจบังคับได้หรือไม่ หรือต้องเป็นการจับมือร่วมกันในระดับอาเซียน
เห็นแล้วก็อดนึกถึงประเด็นสุดร้อนที่ กสทช. "พิรงรอง รามสูตร" ที่เคยตั้งแท่นหาทางออกมาตรการกำกับดูแลบริการ OTT ก่อนหน้า จนถูกบริษัทผู้ให้บริการ OTT รายหนึ่ง ฟ้องร้องจากการล่ำเส้นไปแตะผลประโยชน์ที่บริษัทเอกชนรายนั้นกอบโกยอยู่ จนเกือบจะต้องถูกถอดถอนจากตำแหน่ง กสทช. มาแล้วจริงๆ

ก็ขนาดประธาน กสทช. ยัง "ขึ้นต้นยังเป็นลำไม้ไผ่" แบบนี้ เราคงไม่ต้องไปคิดอ่านกันเลยว่า ชาตินี้จะได้มาตรการใดออกมากำกับดูแลแพลตฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศทั้งหลายเหล่านี้ได้อีก จริงไม่จริง!!!