ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานว่า ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ วิศวกรอิสระ อดีตรองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟสบุ๊คในหัวข้อ ”ระทึก! ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน ซีพีจะถูกแบล็กลิสต์?”
มีสาระสำคัญที่น่าสนใจ โดยระบุว่า.. ต้องติดตามกันอย่างไม่กะพริบตาว่า กลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร หรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม CPH ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ประกอบด้วยสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา จะเซ็นสัญญาสัมปทานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเส้นตายที่ รฟท.ขีดให้หรือไม่
หากกลุ่ม CPH ไม่เซ็นสัญญาตามกำหนดเวลาจะถูกจะยึดหลักประกันซอง 2 พันล้านบาท และอาจจะถูกขึ้นบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์ ซึ่งจะมีผลให้บริษัททุกบริษัทในกลุ่ม CPH ไม่สามารถรับงานภาครัฐได้อีกต่อไป ทั้งนี้ กลุ่ม CPH ประกอบด้วยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท ช.การช่างจำกัด (มหาชน) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท China Railway Construction Corporation Limited และบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
กลุ่ม CPH ชนะการประมูลด้วยการขอเงินสนับสนุนจากรัฐน้อยที่สุด คือ 117,226.87 ล้านบาท ซึ่งไม่เกินเพดานที่รัฐกำหนดไว้ 119,425.75 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีวงเงินทั้งหมด 224,544.36 ล้านบาท รัฐลงทุน 117,226.87 ล้านบาท คิดเป็น 52% นับว่าเป็นสัดส่วนการลงทุนร่วมกับเอกชนที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ที่รัฐต้องร่วมลงทุนถึง 80-85%
จากการที่กลุ่ม CPH ขอให้รัฐร่วมทุนน้อย ทำให้กลุ่ม CPH ต้องลงทุนมาก ส่งผลให้โอกาสที่จะได้กำไรยากมาก เหตุที่กลุ่ม CPH เสนอให้รัฐร่วมลงทุนน้อยคงเป็นเพราะต้องการชนะการประมูล เนื่องจากการประมูลตัดสินด้วยจำนวนเงินที่รัฐต้องร่วมลงทุน หากผู้เข้าประมูลรายใดขอให้รัฐร่วมลงทุนน้อยที่สุดก็จะชนะการประมูล ถามว่ากลุ่ม CPH รู้หรือไม่ว่าจะขาดทุนจากโครงการนี้ ตอบว่ารู้ เมื่อรู้แล้วทำไมยังยื่นข้อเสนอไปอย่างนั้น ตอบได้ว่า อาจเป็นเพราะกลุ่ม CPH คาดหวังว่าข้อเสนอเพิ่มเติมที่กลุ่ม CPH เสนอต่อ รฟท.ในซองประมูลที่ 4 จะได้รับการตอบรับจาก รฟท. ซึ่งจะทำให้โครงการไม่ขาดทุน
ข้อเสนอเพิ่มเติมที่กลุ่ม CPH เสนอต่อ รฟท.มี 12 ข้อ อาทิ (1) ให้รัฐร่วมลงทุนตั้งแต่ปีแรกจากเดิมที่รัฐจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ปีที่ 6 (2) ให้รัฐหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (3) ขอจ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสันและศรีราชาในปีที่โครงการพัฒนาที่ดินได้กำไร เป็นต้น แต่ รฟท.ปฏิเสธทั้งหมด เพราะหากรับข้อเสนอเพิ่มเติมจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับคู่แข่งขัน
เมื่อข้อเสนอเพิ่มเติมถูกปฏิเสธจาก รฟท. ในขณะที่ถูกขีดเส้นตายให้เซ็นสัญญาภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 กลุ่ม CPH จะทำอย่างไร หากเดินหน้าเซ็นสัญญาก็ต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะขาดทุน แต่หากไม่เซ็นอาจถูกแบล็กลิสต์ ไม่สามารถรับงานรัฐได้อีกต่อไป ที่สำคัญ จะทำให้เสียชื่อเสียง
ถึงเวลานี้ กลุ่ม CPH ซึ่งประกอบด้วยบริษัทชั้นนำหลายบริษัทคงต้องเลือกที่จะรักษาชื่อเสียงของตนไว้ ไม่ยอมให้ถูกแบล็กลิสต์แน่ ด้วยเหตุนี้ กลุ่ม CPH คงมีทางเลือก 2 ทาง ดังนี้
1. กรณี รฟท.ใช้มาตรการแบล็กลิสต์จริง
กลุ่ม CPH จะเซ็นสัญญา โดยยื่นเงื่อนไขให้ รฟท.ส่งมอบพื้นที่การก่อสร้างตามกำหนดเวลาและแผนการก่อสร้างของตน หาก รฟท.ไม่สามารถส่งมอบได้ อาจนำไปสู่การบอกเลิกสัญญาโดยกลุ่ม CPH ในภายหลัง เนื่องจากโครงการมีความเสี่ยง
2. กรณี รฟท.ไม่ใช้มาตรการแบล็กลิสต์
กลุ่ม CPH คงไม่เซ็นสัญญา โดยยอมให้ รฟท.ยึดหลักประกันซอง 2,000 ล้านบาท และอาจจะอ้างว่า รฟท.ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ตามกำหนดเวลาและแผนการก่อสร้างของตนได้ ทำให้โครงการมีความเสี่ยง ส่งผลให้หาแหล่งเงินกู้ไม่ได้
ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังดี อยากให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เปรียบได้กับกระดูกสันหลังของอีอีซีเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม รฟท. จะต้องระมัดระวังอย่างมากไม่ให้เกิดค่าโง่ดังเช่นโครงการโฮปเวลล์ขึ้นมาอีก