จับตาเกมยื้อมือมืดสั่งสำรวจผู้บุกรุก หลังลงนามชัดเจนแล้วสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่เดิมกำหนดวันลงนามสัญญาเป็นวันที่ 15 ตุลาคม 2562 นี้..
ล่าสุดแน่นอนแล้วว่า เจอโรคเลื่อนไปเป็นประมาณวันที่ 25 ตุลาคม 2562 หลังจากช่วงก่อนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้กุมอำนาจอีกหลายคนสั่งให้เร่งลงนามสัญญากับกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตรโดยเร็ว
แต่ก็มีอันให้ต้องเลื่อนครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นกับในครั้งนี้ที่เลื่อนออกไปอีก เหตุจากไม่มีคณะกรรมการ(บอร์ด)การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พิจารณาเห็นชอบโครงการดังกล่าว เพราะบอร์ด รฟท.ยื่นใบลาออกยกชุดไปแล้วนั่นเอง!
อ้างเหตุจำเป็นต้องเลื่อน!
ในเรื่องนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันต่อหน้าสื่อมวลชนประจำกระทรวงคมนาคมว่า “ไม่ได้บีบให้บอร์ด รฟท.ลาออก แต่เป็นเพราะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ที่ต้องเลื่อนการลงนามออกไปเนื่องจากคณะกรรมการ(บอร์ด) รฟท.ลาออกยกชุดทั้งๆ ที่ได้พยายามยับยั้งแล้ว แต่เนื่องจากเมื่อบอร์ดแสดงเจตจำนงในการทำหนังสือยื่นแล้วมีการลงเลขรับหนังสือดังกล่าวเรียบร้อย ถือว่าการลาออกสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น จึงเร่งขั้นตอนจัดหาบอร์ด รฟท.ชุดใหม่เข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป”
การเสนอบอร์ดชุดใหม่ จึงมีความจำเป็น เนื่องจากโครงการนี้จะต้องได้รับการพิจารณาผ่านจากบอร์ด รฟท.ให้เรียบร้อยก่อน แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะได้มีการนำเสนอผ่านบอร์ดชุดเก่ามาแล้ว และนายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการ รฟท.ยังยืนยันกับสื่อมวลชนแล้วว่า บอร์ดผ่านการพิจารณาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ลืมนึกไปว่า ณ วันนี้ต้องดูว่า เป็นยุคของใครกุมอำนาจ ขั้นตอนนี้เป็นความสำคัญจะให้ผ่านไปโดยง่ายๆ ไม่ได้ นายศักดิ์สยาม จึงให้อำนาจบอร์ดชุดใหม่จะเหมาะสมมากกว่า
ประการสำคัญ เอกสารประกอบจะสอดคล้องกับข้อเสนอการร่วมลงทุน RFP (Request for Proposal) หรือไม่
จึงต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อน แม้จะมี พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ แต่ยังมีประเด็นกำหนดไว้ใน RFP ว่า ให้ดูกฎหมายอื่นประกอบด้วย ซึ่งตามระเบียบ รฟท. หากผู้ว่าการ รฟท. จะไปลงนามใด ๆ หากบอร์ดไม่รับรู้ก็จะไม่มีผลผูกพันในทางปฏิบัตินั่นเอง
ดังนั้น ระยะเวลาที่เลื่อนออกไปจึงเป็นสิ่งที่จะได้รับการตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยล่าสุดนั้นทาง รฟท. อยู่ระหว่างการเสนอรายชื่อบอร์ด รฟท. ชุดใหม่ต่อสำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณาคุณสมบัติ ซึ่งส่วนคณะกรรมการจำนวน 3 คนจะมีภาคเอกชนเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการบอร์ด รฟท. ในครั้งนี้ด้วย คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะส่งรายชื่อแจ้งคืนกลับมายังกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไปในวันที่ 15 ตุลาคมนี้
วงในเผยจับตาการสำรวจผู้บุกรุก
แหล่งข่าวระดับสูงใน รฟท. รายหนึ่งเผยว่า นอกจากประเด็นการเลื่อนลงนามสัญญาแล้วจะต้องจับตา กรณีที่มีมือมืดสั่งให้ระงับการลงพื้นที่สำรวจผู้บุกรุกเอาไว้ก่อน จนกว่ากลุ่มซีพีจะลงนามให้แล้วเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มซีพีให้ความสำคัญ เนื่องจากจะเป็น ”ความเสี่ยงที่จะเป็นค่าโง่หรือภาระหนี้ก้อนโตให้ในภายหลัง” หากไม่สามารถเคลียร์พื้นที่ได้และโครงการล่าช้าออกไปเนื่องจากตามเงื่อนไขข้อกำหนดในสัญญากลุ่มซีพีจะต้องรับความเสี่ยงในเรื่องนี้เองทั้งสิ้น
จากปมร้อนๆ ของรถไฟความเร็วสูง จึงต้องมาลุ้นกันอีกเฮือกว่า กลุ่มซีพีจะถอยโดยยอมเสียเงินซื้อซองไปแล้ว 5 แสนบาท กับเงินมัดจำอีก 2,000 ล้านบาทหรือไม่ เพราะหากวัดดวงสู้กับเกมในทางลับของอีกฟากที่กุมอำนาจรัฐไว้เสร็จสรรพจะต้องไปเสี่ยงกับการได้รับภาระหนี้ก้อนโตหลักหมื่นล้าน ซึ่งในเรื่องนี้เจ้าสัว ”ธนินท์ เจียรวนนนท์” บอสใหญ่กลุ่มซีพี ก็ได้ออกมายืนยันผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันก่อนแล้วว่า รัฐต้องออกมารับความเสี่ยงนี้ร่วมกัน ส่วนจะสำเร็จตามการเจรจาในช่วงก่อนถึงวันที่ 25 ตุลาคมนี้หรือไม่ ก็ต้องจับตากัน
จุดตายเวนคืนที่ดินเส้นทาง
นอกจากร่างสัญญารถไฟความเร็วสูงที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ และบอร์ดรถไฟที่พากันชิ่งหนี ออกยกชุดไปแล้ว ยังมีกรณีเรื่องของ ”ที่ดินเวนคืนในโครงการ ที่ยังไม่มีความชัดเจน”
เพราะเป็นจุดสำคัญที่การรถไฟฯ เอง ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ว่าจะเคลียร์หน้าเสื่อให้แล้วเสร็จได้เมื่อใด หรืออย่างไร เนื่องจากตามเงื่อนไขการร่วมลงทุนในโครงการนี้ ภาครัฐจะต้องดำเนินการส่งมอบที่ดิน ตลอดแนวโครงการร่วม 3,700 ไร่ ที่ในจำนวนดังกล่าวมีที่ดินที่มีปัญหาการบุกรุกโดยทั่วไป เเละในส่วนของระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการของหน่วยงานอื่นๆ อีกนับสิบหน่วยงาน
ทั้งนี้จากการหารือของคณะทำงาน ล่าสุดพบว่า สามารถที่จะดำเนินการส่งมอบพื้นที่ให้แก่คู่สัญญาเอกชนได้เพียง 72% เท่านั้น อีกเกือบ 30% ยังไม่สามารถส่งมอบได้ แม้จะเจรจาหาทางออกโดยให้เลื่อนเวลาการส่งมอบออกไป 1-2 ปี ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะทำได้หรือไม่ เนื่องจากหลายพื้นที่นั้นอยู่นอกเหนืออำนาจของการรถไฟฯ จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการโยกย้ายสาธารณูปโภคต่างๆ ที่อยู่ในแนวรถไฟทั้งสิ้น
ทั้งในส่วนของท่อส่งน้ำมัน FPT- ปตท . สายส่งไฟฟ้า 500kv ของการไฟฟ้าฝ้ายผลิตฯ กฟผ. อาคารโรงพยาบาลรามาในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและระบบสาธารณูปการอื่นๆ
"ปัญหาใครจะแบกรับภาระในการโยกย้ายยังไม่รู้จะโยนให้เอกชนรับภาระก็ไม่ได้ เพราะในเงื่อนไข RFP /TOR นั่นไม่ได้กำหนดไว้แต่แรก เพราะตาม RFP /TOR คือ รัฐจะต้องส่งมอบที่ดินเกือบ 4,000ไร่ ให้คู่สัญญา ไม่มีข้อความใดที่บอกว่า จะต้องให้เอกชนต้องมาแบกรับภาระค่าใช้จ่าย (มีแต่ รมต.พร่ำไปเอง)”
ในที่สุดถึงต้องเกิดเหตุการณ์โยกกลองกันวุ่นไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครจะเคลียร์หน้าเสื่อค่าเวนคืนที่งอกขึ้นมา!