วงการรับเหมาเชื่อโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 3 แสนล้านจ่อเจอทางตัน หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งกองทัพเรือต้องเปิดซองข้อเสนอกลุ่มทุน ซี.พี. เหตุขัดเงื่อนไขทีโออาร์ที่ต้องเปิดซองข้อเสนอในเวลาเดียวกัน วงในชี้ข้อเสนอกลุ่ม “คีรี-หมอเสริฐ” ยังแรงเสนอผลตอบแทนรัฐกว่า 3 แสนล้าน
ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” กับเรื่องของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่ากว่า 290,000 ล้านบาท ที่คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ ซึ่งมี พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. เป็นประธาน ที่แม้จะโม่แป้งโครงการประมูลกันมาร่วมปี จนเห็นเค้าลางของผู้ชนะการประมูลกันไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562 คือ “กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS”
แต่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 10 มกราคม 63 ที่ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในส่วนที่ปฎิเสธไม่รับข้อเสนอซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจกล่องที่ 6 และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านราคากล่องที่ 9 ของบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัด กับพวก เนื่องจากศาลเห็นว่า สาระสำคัญที่แท้จริงของกระบวนการยื่นข้อเสนอในคดีนี้ อยู่ที่การแสดงตนเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ จึงให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ รับพิจารณาเอกสารดังกล่าวให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกต่อไป
ทั้งนี้ ผลของคำพิพากษาดังกล่าวทำให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกจำเป็นจะต้องเปิดซองข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาของกลุ่มทุน ซี.พี. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากที่ก่อนหน้าได้ยืนยันตัดสิทธิ์จากการประมูลไปแล้ว โดยคณะกรรมการได้นัดประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระดับสูงในบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมซื้อซองโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า ผลจากพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดข้างต้น ได้ทำให้เส้นทางการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน "พีพีพี" โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกมูลค่ากว่า 290,000 แสนล้าน ที่คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ ตัดสินชี้ขาดกันไปก่อนหน้าเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 62 ให้ข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ที่กอปรด้วย บีทีเอส-บางกอกแอร์เวย์ส และชิโน-ไทยฯ เป็นผู้ชนะประมูลโครงการนั้น มีอันจะต้องกลับมานับ 1 ใหม่ และอาจต้องยกเลิกการประมูลกันไป
ทั้งนี้เพราะนัยสำคัญของคำพิพากษาที่สั่งให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯต้องรับข้อเสนอของบริษัทธนโฮลดิ้งฯ กับพวกที่ระบุอย่างชัดเจนว่า “หลังจากนั้น จะเป็นการนำข้อเสนอทั้งหมดยื่นและส่งมอบให้แก่ฝ่ายรัฐเพื่อนำเอาข้อเสนอของผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายไปพิจารณาในเวลาต่อไป โดยเปิดซองข้อเสนอแต่ละซองของผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายพร้อมกันในเวลาเดียวกันที่จะมีการกำหนดและแจ้งให้ทราบต่อไปอีกครั้งหนึ่งเป็นลำดับ ...จึงให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ รับพิจารณาเอกสารดังกล่าวให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกต่อไป”
“ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้พิจารณาเปิดซองข้อเสนอด้านเทคนิค และราคาจนได้เค้าลางของผู้ชนะประมูลไปแล้ว คือ กลุ่มบีบีเอส (BBS) การจะกลับมาเปิดซองข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้าธนโฮลดิ้งฯ ในภายหลังเพียงรายเดียวเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลการประมูลที่ได้ก่อนหน้า จึงขัดแย้งกับเงื่อนไขทีโออาร์ และเชื่อว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายก็จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ต้องล้มประมูลกลับไปนับ 1 ใหม่อยู่ดี”
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า หากพิจารณาข้อเสนอด้านการเงินของกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่าข้อเสนอของกลุ่ม BBS นั้น ได้เสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดถึงกว่า 3 แสนล้านบาท สูงกว่าข้อเสนอของกลุ่มแกรนด์ คอนซอร์เตี้ยม และบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัด กับพวก ซึ่งกลุ่มหลังนั้นมีกระแสข่าวว่าได้เสนอผลตอบแทนแก่รัฐต่ำกว่าเป็นเท่าตัว แต่กระนั้นวงในก็เชื่อว่า จะมีการเล่นแร่แปรธาตุบีบให้คณะกรรมการต้องพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคเป็นหลักโดยพิจารณาข้อเสนอด้านราคาประกอบเท่านั้น
“โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกนั้น จะแตกต่างจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ที่จะพิจารณาข้อเสนอของเอกชนที่เสนอขอเงินสนับสนุนจากรัฐต่ำสุดเป็นเกณฑ์ จึงทำให้กลุ่ม ซี.พี. มีความได้เปรียบเพราะเสนอของบสนับสนุนจากรัฐต่ำสุดเพียง 1.17 แสนล้านบาท แต่ก็มีข้อเสนอแนบท้ายเพิ่มเติมตามมาอีกกว่า10รายการ ขณะที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานั้นจะพิจารณาจากข้อเสนอเอกชนที่เสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดเป็นเกณฑ์ ซึ่งครั้งนี้กลุ่มบีบีเอส (BBS) ต้องการแจ้งเกิดกับโครงการนี้จึงได้ทุ่มสุดตัวเสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงกว่า 3 แสนล้านบาท ทิ้งห่างจากข้อเสนอของกลุ่มแกรนด์ฯ หลายเท่าตัว และแม้กลุ่มทุนซี.พี.จะมีการแก้ไขตัวเลขข้อเสนอในภายหลัง จากการตรวจสอบวงในก็พบว่า ได้เสนอผลตอบแทนแก่รัฐในระดับพียงแสนกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่วงในก็เชื่อว่าท้ายที่สุดก็คงจะมีการหยิบยกประเด็นการดำเนินการที่ผิดเงื่อนไขทีโออาร์ฟ้องล้มกระดานโครงการนี้อยู่ดี”
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 62 ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำสั่งคุ้มครองข้อเสนอของกลุ่มทุน ซี.พี. โดยมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่ปฏิเสธไม่รับซองข้อเสนอของกลุ่มซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ) กับซองที่ 9 (ข้อเสนอด้านราคา) โดยให้คณะกรรมการดำเนินการพิจารณาข้อเสนอของกลุ่มด้วย โดยระบุว่า เงื่อนไขทีโออาร์ไม่มีความชัดเจนมาตั้งแต่ต้น และประเด็นข้ออ้างในเรื่องของเงื่อนเวลาก็ไม่ใช่สาระสำคัญนั้น
หลายฝ่ายที่เฝ้าจับตาการ “ชิงดำ” สัมปทานโครงการนี้ต่างก็ก็ฟันธงไปตั้งแต่วันนั้นแล้วว่า เส้นทางการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกกำลังจะพลิกผัน และมีสิทธ์ “ล้มกระดาน” เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุ่นซีพีได้เข้าร่วมประมูลเพื่อสานต่อ “จิ๊กซอว์” ของกลุ่มในอันที่จะผนวก 3 โครงการลงทุนในอีอีซีอันประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และการพัฒนาเมืองใหม่ Smart City เข้าด้วยกัน เพราะหากขาด “จิ๊กซอว์” โครงการใดโครงการหนึ่งไปก็ยากจะประสบผลสำเร็จ!!!