ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”
กับเรื่องของ “โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก” มูลค่ากว่า 290,000 ล้านบาท ที่คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน “พีพีพี” ซึ่งมี พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. เป็นประธาน โม่แป้งกันมาร่วมปีจนเห็นเค้าลางของผู้ชนะการประมูลกันไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562 คือ “กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS” ที่ประกอบด้วยบริษัท BTS Holding (BTS ) - บางกอกแอร์เวย์ส และชิโน-ไทยเอนจิเนียริ่ง ที่นัยว่าจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐมากกว่า 3 แสนล้านบาท!
แต่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ที่ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในส่วนที่ปฎิเสธไม่รับข้อเสนอซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจกล่องที่ 6 และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านราคากล่องที่ 9 ของบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัดกับพวก อันเป็นการคืนสิทธิ์ให้กลุ่มทุนซี.พี.ที่ถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมชิงดำไปก่อนหน้าได้กลับมาร่วมวงไพบูลย์นั้น ผลของคำพิพากษาดังกล่าวปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ทำให้เส้นทางการประมูลโครงการดังกล่าวจ่อเผชิญทางตัน และอาจจบลงด้วยการ “ล้มกระดาน” นับ 1 ใหม่
เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวยืนยันคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้ดำเนินการเปิดซองข้อเสนอของกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมชิงดำอีก 2 กลุ่มกันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2562 ก่อนชี้ขาดให้ข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ที่กอปรด้วย บีทีเอส-บางกอกแอร์เวย์ส และชิโน-ไทยฯ เป็นผู้ชนะประมูลเพราะเสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดกว่า 3 แสนล้านบาท ทิ้งห่างข้อเสนอของกลุ่มแกรนด์ คอนซอร์เตี้ยม ที่เสนอผลตอบแทนแก่รัฐในระดับหมื่นล้านเท่านั้น
แต่ผลพวงแห่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ และคืนสิทธิ์ประมูลของบริษัทธนโฮลดิ้งฯ กับพวกข้างต้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่เพียงจะทำให้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วย “ข้อกังขา” จนกระแสโซเชียลดาหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษากันอย่างหนัก จนถึงขั้นที่ เลขาธิการองค์กรต่อต้านการคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ออกโรงสัพยอก “อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้”
ยิ่งหากทุกฝ่ายจะได้พิจารณานัยแห่งคำพิพากษาที่สั่งให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลิกต้องคืนสิทธิ์ให้แก่บริษัทธนโฮลดิ้ง กับพวกนั้น ระบุอย่างชัดเจนว่า “หลังจากนั้น จะเป็นการนำข้อเสนอทั้งหมดยื่นและส่งมอบให้แก่ฝ่ายรัฐเพื่อนำเอาข้อเสนอของผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายไปพิจารณาในเวลาต่อไป โดยเปิดซองข้อเสนอแต่ละซองของผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายพร้อมกันในเวลาเดียวกันที่จะมีการกำหนดและแจ้งให้ทราบต่อไปอีกครั้งหนึ่งเป็นลำดับ ...จึงให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯรับพิจารณาเอกสารดังกล่าวให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกต่อไป”
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯได้พิจารณาเปิดซองข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาจนได้เค้าลางของผู้ชนะประมูลไปแล้วก่อนหน้า คือ กลุ่มบีบีเอส (BBS) การจะกลับมาเปิดซองข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้าธนโฮลดิ้งฯ ในภายหลังเพียงลำพังรายเดียว เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลการประมูลที่ได้ก่อนหน้า จึงขัดแย้งกับเงื่อนไขทีโออาร์โดยชัดแจ้ง
ด้วยเหตุนี้ ทุกฝ่ายที่เฝ้าจับตาโครงการดังกล่าวจึงฟันธงไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายก็จะกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการฟ้องร้องจนนำมาสู่การ “ล้มประมูล” กลับไปนับ 1 ใหม่อยู่ดี และหลายฝ่ายถึงขั้นออกโรงเหตุใดประธานศาลปกครองสูงสุดจึงปล่อยให้เกิดเรื่องอื้อฉาว และคำพิพากษา "สีเทา" ที่กำลังทำเอาสังคมปั่นป่วน เหตุใดไม่นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพื่อดับไฟที่กำลังลามเลียจนอาจส่งผลต่อ Creditability ของศาลเอาได้
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มทุนซี.พี. จะสามารถหักด่านการถูกตัดสิทธิ์จากการประมูลโครงการร่วมลงทุนในสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก กลับมาผงาดอีกหนได้ แต่กระแสข่าวสะพัดในวงการรับเหมาที่ออกมาเปิดเผยถึงรายละเอียดข้อเสนอทางเทคนิคและการเงิน ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐของแต่ละกลุ่มต่างระบุตรงกัน
จนถึงวินาทีนี้ข้อเสนอของกลุ่ม BBS (BTS -บางกอกแอร์เวย์สและชิโน-ไทยฯ) ได้เสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงกว่า 3 แสนล้านบาท สูงกว่าข้อเสนอของกลุ่มแกรนด์ คอนซอร์เตี้ยม และบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัดกับพวก เป็นเท่าตัว โดยยืนยันว่าจากการตรวจสอบในเชิงลึกนั้น พบว่า กลุ่มทุนซี.พี.นั้นเสนอผลตอบแทนแก่รัฐในระดับแสนกว่าล้านบาทเศษเท่านั้น ห่างจากกลุ่มบีบีเอสเป็นเท่าตัวอยู่ดี
“โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกนั้น แตกต่างจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ที่พิจารณาข้อเสนอของเอกชนที่เสนอขอเงินสนับสนุนจากรัฐต่ำสุดเป็นเกณฑ์ แต่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานั้นจะพิจารณาจากข้อเสนอเอกชนที่เสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดเป็นเกณฑ์ ซึ่งครั้งนี้กลุ่มบีบีเอส (BBS) ต้องการแจ้งเกิดกับโครงการนี้ จึงทุ่มสุดตัวเสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงกว่า 3 แสนล้านบาท ทิ้งห่างจากข้อเสนอของกลุ่มแกรนด์ฯ และกลุ่มทุนซี.พี.เป็นเท่าตัว”
แต่กระนั้นวงการรับเหมาต่างก็เชื่อว่า ท้ายที่สุดคงจะมีการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อหาทาง “ล้มกระดาน” และบีบให้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการประมูล เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนซี.พี.ได้ผนวก 3 โครงการลงทุนในอีอีซี อันประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และการพัฒนาเมืองใหม่ Smart City เข้าด้วยกัน เพราะหากขาด “จิ๊กซอว์” โครงการใดโครงการหนึ่งไปก็ยากจะประสบผลสำเร็จ!
วันนี้ไม่เพียงทุกฝ่ายจะได้เห็นการ “ดึงอ้อยจากปากช้าง” ได้เห็นการใช้สถาบันที่มีอำนาจสูงสุด “หักดิบ” การประมูลโครงการรัฐเพื่อให้เป็นไปตาม "ไทม์ไลน์" ที่ตนวางไว้แล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นว่าวันนี้ กลุ่มทุนการเมืองได้รุกคืบเกาะกินไปในทุกอณูของระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว
จะเหลืออยู่ก็แต่ "นายกฯ ตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะกล้าหักดิบเรียกความเชื่อมั่นให้กับการลงทุนของประเทศหรือไม่?