แม้จะเข้าสู่ห้วงสัปดาห์สุดท้ายของการทำงาน แต่ "ฐากร ตัณฑสิทธิ์" เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ก็ยังคงเดินหน้าลุยงานหามรุ่งหามค่ำ
สองผลงานชิ้นสุดท้ายที่เจ้าตัวฝากฝังไว้ดูต่างหน้า ก็คือ การผลักดันจัดตั้ง "คณะกรรมการขับเคลื่อน 5จีแห่งชาติ" ที่ กสทช. ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกันผลักดัน จนที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาตม 2563 ให้ความเห็นชอบไปสัปดาห์ก่อน
ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย ในส่วนของการต่อยอดการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ภายหลังจากที่ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมได้มีการประมูลคลื่นความถี่ และมีการลงทุนขยายโครงข่ายในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี 5G ดังกล่าว
อีกเรื่องก็คือ การผลักดันให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีผู้ให้บริการออนไลน์จากต่างประเทศ หรือ ภาษี e-Service ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการจัดเก็บภาษีบริการดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
โดยเลขาธิการ กสทช. ได้ออกเตือนรัฐบาลให้เร่งหามาตรการรองรับการไหลบ่าของบรรดาผู้ให้บริการออนไลน์ข้ามชาติ หรือแพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่เข้ามาฝังรากลึกหากินในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะบริการที่เป็น Over the Top หรือ OTT อาทิ เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น การดาวน์โหลดหนัง เพลง เกม บริการจองโรงแรม ซึ่งทำให้สามารถซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ทำได้สะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในต่างประเทศมีรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาภาครัฐอย่างกรมสรรพากรก็กลับไม่สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีอื่นใดได้
เลขาธิการ กสทช. ยังได้ออกมาตอกย้ำว่า ผลพวงจากวิกฤติการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดออกไปทั่วโลกในขณะนี้ ได้ทำให้พฤติกรรมของประชาชนและสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่า วิถีชีวิตและกิจกรรมเศรษฐกิจของไทยจะเปลี่ยนแปลง ด้วยเทคโนโลยี 5จี ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า หรือในช่วงปี 2567-2568 แต่มาวันนี้วิถีชีวิตผู้คนในยุค 5จี เกิดขึ้นจริงเร็วกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Tele-work หรือทำงานที่บ้าน (work from home) ที่ใช้ระบบสื่อสารความเร็วสูง การประชุมทางไกลแบบ real-time และ interactive ตอบสนองนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing)
"นอกจากผู้คนจะเริ่มตอบรับชีวิตดิจิทัลที่เร็วกว่าที่คาดไว้แล้ว โควิดยังทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่ไม่ใช่การใช้กำลังเข้ายึดประเทศ แต่เป็นการล่าอาณานิคมด้วยเทคโนโลยี ผ่านบริการ OTT (Over The Top) หรือบริการสื่อสาร แพร่ภาพ และกระจายเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ปัจจุบันทำรายได้มหาศาลเมื่อเทียบกับเงินลงทุนจำนวนเพียงน้อยนิด เพราะอาศัยวิ่งบนเครือข่ายมีสายและเครือข่ายไร้สายโทรศัพท์มือถือที่ผู้ให้บริการลงทุนหลายแสนล้านบาท เกือบจะเรียกได้ว่า ทำธุรกิจจับเสือมือเปล่า OTT ที่โด่งดังในประเทศไทย ประกอบไปด้วย YouTube, Facebook, Grab, Lazada, Shopee, Line ซึ่งแพลตฟอร์ม OTT เหล่านี้เป็นของต่างชาติทั้งสิ้น"
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ แทบจะทั้งหมดขับเคลื่อนผ่าน OTT ไม่ว่าจะซื้อของออนไลน์ก็ผ่านลาซาด้า อาลีบาบา อะเมซอน ถ้าจะหาความบันเทิงสนุกสนานดูหนังก็เน็ตฟลิกซ์ เฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูป ถ้าเป็นเรื่องอาหารก็สั่งแกร็บ ไลน์แมน ทั้งหมดเป็นแพลตฟอร์ม OTT ที่เกิดขึ้นจากต่างประเทศ ถ้าคนไปใช้บริการก็ต้องจ่ายเงินผ่านไปยังต่างประเทศเกือบทั้งหมด วันนี้รัฐบาลอัดฉีดเงินให้ประชาชน อยากถามว่า ประชาชนใช้จ่ายเงินที่เป็นการซื้อสินค้าภายในประเทศตัวเอง โดยไม่ผ่าน OTT กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราคิดว่าประชาชนได้เงิน 5,000 บาท ซื้ออาหารที่สั่งแกร็บก็เป็น OTT ถ้าซื้อสินค้าผ่านลาซาด้าก็เป็น OTT ดูเฟซบุ๊ก ยูทูป ดูหนังเน็ตฟลิกซ์ ก็เป็น OTT ทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ เลขาธิการ กสทช.ถึงได้ย้ำเตือนไปยังรัฐบาลใน 3 เรื่องสำคัญคือ..
1. ต้องรีบกำกับดูแลบริการ OTT อย่างเร่งด่วน เพราะถ้าไม่รีบกำกับบริการ OTT เหล่านี้ ถึงรัฐบาลจะเติมเงินลงไปมากเท่าไหร่ แต่เงินเหล่านั้นจะไหลออกต่างประเทศหมด ตามพฤติกรรมประชาชนที่ตอบรับวิถีดิจิทัลที่รวดเร็ว จนทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ยาก จึงต้องเร่งหามาตรการกำกับบริการ OTT เหล่านี้
2. นอกจากการเร่งกำกับ OTT แล้ว ประเทศไทยจะต้องมีแพลตฟอร์ม OTT เป็นของตัวเอง หรือที่เรียกว่า National OTT Platform ในขณะนี้ ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีแกร็บ มาเลเซียมีไอฟลิกซ์ อินโดนีเซียก็มี Go-Jek แพลตฟอร์มดังกล่าวนอกจากทำรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ยังสกัดไม่ให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศอีกด้วย
และ 3. ถ้าไทยยังไม่มี OTT ระดับชาติเป็นของตัวเอง รัฐบาลควรสนับสนุนและยกระดับการซื้อขายสินค้าตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายผ่านจุฬาฯ มาร์เก็ตเพลส หรือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการฝากร้าน เพราะเป็นการซื้อขายตรงโดยไม่ต้องผ่าน OTT ให้ขยายไปทั่วประเทศ จะช่วงป้องกันเงินรั่วไหลออกนอกประเทศ
เป็นความกังวลและความห่วงใยสุดท้ายที่เลขาธิการ กสทช. มีไปยังรัฐบาลที่ทุกฝ่ายคงต้องหามาตรการรอรับ และที่สำคัญต้องหาผู้ที่เข้าใจกลไกรับมือการไหลบ่าของเทคโนโลยีดิจิทัล 5จีนี้ อย่างดีพอ
ส่วนเจ้าตัวจะมีโอกาสได้กลับมาสานต่อภารกิจที่ยังคั่งค้างเหล่านี้หรือไม่ กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นบทพิสูจน์!