หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกลุ่มนายทหารที่ชื่อว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 แล้วก็ตั้งรัฐบาล โดยใช้ทีมเศรษฐกิจของ“หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ
พร้อมด้วยทีมงานประกอบด้วย นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรฯ นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรฯ และนายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ถือว่าหน้าตาทีมเศรษฐกิจของ “หม่อมอุ๋ย” ดูดี แต่เศรษฐกิจของประเทศไม่ดี เนื่องจากติดภาพลักษณ์รัฐบาลเผด็จการมาจากการทำรัฐประหาร การเจรจาต่อรองทางการค้ากับใครทำได้ลำบาก เศรษฐกิจฝืดเคือง ชาวบ้านเริ่มบ่นทำมาค้าขายไม่ดี แถมราคาสินค้าทางเกษตรตกต่ำทุกตัว
ทีมเศรษฐกิจของ “หม่อมอุ๋ย” ทำงานกับรัฐบาลทหารได้ปีเดียว ก็ถูกปรับออกช่วงเดือน ส.ค.58 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กับหม่อมอุ๋ย จากกันไม่ค่อยดีนัก หลังจากนั้นหม่อมอุ๋ยก็มาให้เหตุผล 8 ข้อ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้บริการทีมงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาเป็นทีมเศรษฐกิจให้กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อันประกอบด้วย นายสมคิด นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
ทีมงานนายสมคิดไม่ได้โชว์ฝีมือในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ เพราะสภาพเศรษฐกิจยังตกต่ำกว่าเก่า ทั้งภาคการผลิต ส่งออก การท่องเที่ยว การเกษตรย่ำแย่เหมือนกันหมด คนส่วนใหญ่ในประเทศไม่มีกำลังซื้อ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากขึ้น ถึงขั้นต้องเปิดให้มีการลงทะเบียนคนจน แล้วแจกเงินผ่านบัตรคนจนถึง 14.5 ล้านคน ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปีก็ขาดดุล ติดลบต่อเนื่องกันหลายปี
ท่ามกลางคำถามตามมามากมาย ว่านายสมคิดเคยสร้างชื่อสมัยอยู่กับ “ทักษิณ” แล้วตกลงว่า นายสมคิดมีฝีมือทางเศรษฐกิจ หรือไม่มีฝีมือ? หรือว่า “ทักษิณ” ทั้งฉุดและอุ้มให้เก่งกันแน่!
หลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือน มี.ค. 62 พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ต่อ แล้วยังใช้บริการทีมงานของนายสมคิดช่วยเป็นคลังสมองอยู่ด้านหลัง (ยกเว้นนายอภิศักดิ์ที่ไม่ได้ไปต่อ) ส่วนฉากหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ออกตัวว่า เขาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
แต่สภาพเศรษฐกิจยิ่งดูไม่จืด ย่ำแย่ไปทุกภาคส่วนต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง กว่าจะตั้งรัฐบาลใช้เวลาถึง 100 วัน เศรษฐกิจตกต่ำชนิดโงหัวไม่ขึ้นมาถึงช่วงปลายปี 62 และต้นปี 63 คนไทยรัดเข็มขัดเรื่องการใช้จ่าย กินเที่ยว จับจ่ายใช้สอยกันน้อยลง ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจากตลาดใหญ่อย่างจีนก็ลดลงไปถึง 50% เนื่องจากคนจีนเริ่มมีปัญหาทางเศรษฐกิจ
ยิ่งมาเจอปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในเดือน มี.ค.63 เรื่อยมา เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ และทีมนายสมคิดบริหารประเทศมาหลายปี ประชาชนเหมือนอยู่ในสภาพหาเช้ากินค่ำ จนกรอบ ไม่มีเงินออม ไม่มีเงินเก็บ
พอเจอโรคระบาด จนทำมาหากิน ประกอบอาชีพกันไม่ได้แค่ 2 เดือน ปรากฏว่า เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ต้องประสบปัญหากับความอดยาก ขาดแคลนอาหาร ถึงขนาดต้องไปเข้าคิวรอการแจกอาหาร และการฆ่าตัวตายพุ่งสูง
จนรัฐบาลต้องออกมา พ.ร.ก. 3 ฉบับ เพื่อหาเงินมาแจกจ่ายประชาชน เพื่อพยุงสภาพเศรษฐกิจไม่ให้ดำดิ่งไปกว่านี้ เนื่องจากหลายสถาบันการเงินประเมินว่า “จีดีพี” ปี 63 จะติดลบ 10% ผู้คนทั่วไปและนักศึกษาจบใหม่จะตกงานมากถึง 10 ล้านคน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ รัฐบาลก็มีปัญหาทางการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค เหมือนเป็นการ “บีบ” ทีมนายสมคิดให้อยู่ไม่ได้ สุดท้ายนายสมคิดและ 4 กุมาร จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประรัฐ และลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีทั้ง 4 ตำแหน่ง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับคณะรัฐมนตรี ท่ามกลางแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐ
แต่ที่คนภายนอกจับตามากที่สุด คือ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเป็นใคร? รมว.พลังงาน ซึ่งเป็นกระทรวงเกรดเอ จะตกเป็นของใคร เพราะมีผู้หมายปองอยู่หลายคน
โดยขณะนี้มีกระแสว่า นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย จะมารับตำแหน่ง รมว.คลัง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตซีอีโอ ปตท. และอดีต รมช.คมนาคม คาดว่า จะเข้ามาเป็น รมว.พลังงาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคงทำให้มีปัญหาในพรรคพลังประชารัฐไม่น้อย รวมทั้งนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม ก็มีชื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรอบนี้ด้วย
แต่เก้าอี้ รมว.พลังงาน ดูจะมีปัญหามากที่สุด เพราะมีทั้งชื่อโควตาชาว กปปส. อย่างนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ โผล่ขึ้นมาด้วย รวมทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร ขณะที่ ส.ส.บางกลุ่มสนับหนุนให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ ผอ.พรรค ซึ่งเป็นเจ้าของตึกที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ขยับจากรมช. คลัง ขึ้นมาเป็น รมว.พลังงาน หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง
“เสือออนไลน์” ทราบมาว่า ใครจะเป็น รมว.พลังงาน นั้นเป็นสิทธิของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคที่จะจิ้มเลือกใคร! เพราะต้องเชื่อมกับนายทุนคนสำคัญของพรรคด้วย อย่างคราวที่แล้ว “นายทุนพรรค” บอกว่า คุยกับนายสนธิรัตน์รู้เรื่องกว่าคุยกับนายสุริยะ แค่นั้นแหล่ะเก้าอี้ รมว.พลังงาน ตกเป็นของนายสนธิรัตน์ทันที
ว่ากันว่า “นายทุนพรรค” ที่ว่านี้มีบารมีเยอะมาก ทั้งในพรรค นอกพรรค ในแวดวงทหาร พูดง่ายๆ ว่าเข้าได้หลายกลุ่ม ต่อเชื่อมได้หมด รวมทั้งที่ “ดูไบ” ก็เคยไป จึงรู้จักมักคุ้นกับคนทางโน้นเป็นอย่างดี
ถ้า พล.อ.ประวิตร เอ่ยปากกับ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องเก้าอี้ รมว.พลังงาน ทุกอย่างก็จบ! พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขัดข้องหรอก! เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีอื่นๆ พล.อ.ประวิตร แกไม่ยุ่งด้วย ปล่อยให้เป็นอำนาจของนายกฯ ในการปรับคณะรัฐมนตรี
โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” หรือคลังสมองของนายกฯ ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยอยู่แล้ว! เพราะรู้ว่าใครมาช่วงนี้ย่อม “เจ็บตัว” แน่ๆ เนื่องจากยังไม่มีแนวโน้มหรือสัญญาณใดๆ ว่า เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจอีก
นี่กำลังจะเป็น “ทีมเศรษฐกิจ” ทีมที่ 3 คาดว่า ถ้ายังไม่ยุบสภา ยังไม่เปลี่ยนนายกฯ คงเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจกันไปเรื่อยๆ ประเภทใช้เปลือง!
เพราะใครมาก็เอาไม่อยู่ กู่ไม่กลับ!
โดย..เสือออนไลน์