สถานการณ์และปัจจัยทั้ง “ภายนอก-ภายใน” ล้วนเป็นใจให้ราคาทองคำพุ่งทะยาน สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ทั้งในระดับโลกและในเมืองไทย
ลือกันให้แซ่กว่า…“วงในกลุ่มคนนำ” ของประเทศนี้…ส่งสัญญาณถึงกัน ร่วมเปิดปฏิบัติการเร่ง “กักตุน” ทองคำแท่ง นับแต่ช่วงปลายปี 2562 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2563
ณ ขณะนั้น ราคาทองคำในประเทศไทย อยู่ในช่วงขาขึ้นเล็กๆ วิ่งอยู่ระหว่างช่วงราคาต่อหนึ่งบาท (น้ำหนักทองคำแท่ง) ที่ 21,500 – 22,000 บาท ใครจะคิดว่า ณ ราคาปัจจุบัน ราคาทองคำในประเทศไทยและโลก จะขยับพุ่งพรวดได้มากถึงขนาดนี้
มันกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างหรือไม่?
ก่อนจะลงลึกในประเด็นคำถามข้างต้น ลองย้อนกลับไปดูราคาทองคำในประเทศไทย เมื่อ 10 ปีก่อน (28 ก.ค.2553) กันสักนิด ณ วันนั้น ราคาทองคำในประเทศ ราคาขายอยู่ที่บาทละ 17,900 บาท ผ่านมา 10 ปี ราคาที่สมาคมทองคำประกาศเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 28 ก.ค.2563 พุ่งพรวดไปอยู่ที่ระดับราคา 28,950 บาท แม้ลดลงจากราคาวานนี้ (27 ก.ค. 2563) 50 บาท แต่ก็มีราคาแพงกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน...มากถึงกว่า 11,000 บาท ต่อน้ำหนักทองคำแท่งหนึ่งบาท
ใกล้ขึ้นมาอีกนิด ช่วงวันที่ 28 ก.ค.2562 หรือเมื่อ 1 ปีก่อน...ราคาทองคำในประเทศ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,700 บาท ห่างกันแค่เพียงปีเดียว ราคาทองคำแพงขึ้นกว่า 8,000 บาท
หากวิเคราะห์ราคาทองคำในประเทศไทย เริ่มจากช่วงรอยต่อ...ปลายปี 2562 ต่อเนื่องปี 2563 และราคาทองคำเมื่อ 1 ปีก่อน รวมถึง 10 ปีก่อนหน้านี้ จะเห็นเส้นกราฟของราคาทองคำวิ่งขึ้นสูงมาก และมากจนน่าใจหายในช่วงหลังเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
พูดได้ว่า...ผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทย...ต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวากับภาวะเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของมนุษยชาติในรอบกว่าร้อยปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
ทิศทางและกระแสโลกเป็นเช่นนั้นจริง! แต่ที่ประเทศไทย...กลับมีเหตุปัจจัยลึกและแหลมคมมากกว่านั้นมากมาย
ลำพังหากไม่มีเหตุการณ์โควิด-19 แค่ผลพวงจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มียาวนานอย่างต่อเนื่องจากกลางปี 2561 จนถึงต้นปี 2563 ก็ส่งผลเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย เมื่อถูกสำทับด้วยปัญหาการเมือง จากกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เตรียมจุดม็อบไล่รัฐบาล ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมปัญหา จนผู้คนในซีก “คนมีเงิน” ต่างทยอยและระดมกว้านซื้อทองคำกักตุนกันบ้างแล้ว
ยิ่งมีวิกฤตโควิด-19 ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งของไทยและของโลก ก็ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มากจนไม่รู้ว่า...ปลายทางของความเลวร้ายอยู่ตรงจุดไหน?
คน...ยิ่งตื่นกลัวกับความไม่แน่นอน ยิ่งต้องสร้างหลักประกันความมั่งคั่ง และหลักประกันที่ดีที่สุด ก็คือ การถือครองทองคำแท่งไว้กับตัว...
ปรากฏการณ์นี้ ทำให้ราคาทองคำขยับตัวพุ่งขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว
ที่ประเทศไทย...ยังมีเหตุการณ์การเมือง ที่กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา เริ่มกลับมา “ก่อหวอด” นัดชุมนุมประท้วงเรียกร้องใน 3 ข้อจากรัฐบาล คือ “ยุบสภา - ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ - หยุดคุกคามประชาชน” แถมรอบนี้...ได้รับแรงสนับสนุนจากภาคประชาสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น...ภาคประชาชน เกษตรกร กรรมกร อาจารย์นักวิชาการ แม้แต่นักการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล (พรรคร่วมรัฐบาล) รวมถึงบางส่วนของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยังสนับสนุนให้รัฐบาลรับข้อเรียกร้องของเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แถมปัญหาภายนอกประเทศ...ที่หลายอนุภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตอาหรับหรือเอเชียกลาง เอเชียใต้ ทะเลจีนใต้ ฯลฯ ล้วนตกอยู่ในภาวะความสุ่มเสี่ยงจะเกิดสงครามทางการทหาร ระหว่าง...สหรัฐฯและพันธมิตร ฝ่ายหนึ่ง กับรัสเซีย จีน อีหร่าน อีกฝ่ายหนึ่ง
ปัญหาภายใน ผสานปมขัดแย้งจากภายนอก ยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้หนักมากยิ่งขึ้น กระตุ้นให้ผู้คนที่มีความพร้อมทางการเงิน ต่างกักตุนทองคำแท่งในมือ จนราคาทองคำในประเทศไทยและในตลาดโลกขยับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
อีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้? แต่เกิดขึ้นแน่!...จะเร็วหรือช้าเท่านั้น นั่นก็คือ การที่รัฐบาลจีนเตรียมจะยึดเอกราชคืนจากรัฐบาลฮ่องกง พร้อมกับสลายสถานะความเป็น “รัฐอิสระ” ที่มีเอกราชเป็นของตัวเอง ภายหลังรัฐบาลอังกฤษส่งมอบคืนฮ่องกงให้กับรัฐบาลจีน เมื่อปี 25401 (ค.ศ.1997) และจะทำให้ฮ่องกงกลายเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลกวางตุ้ง
อะไรที่เคยมีและเคยเป็นบนเกาะฮ่องกง จากนี้...จะไม่เหมือนเดิม
แค่ยกเลิกสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง ใครที่ถือเงินสกุลนี้เอาไว้ในช่วงเวลาที่รัฐบาลจีนไม่รับแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลหยวนแล้ว ล่ะก็...เงินที่ทั้งหมดที่มี...จะมีค่าเป็นแค่ “แบงก์กงเต็ก”
ใครที่ครอบครองที่ดินบนเกาะฮ่องกง เมื่อรัฐบาลจีนยกเลิกสถานะความเป็น “รัฐอิสระ” นั่นหมายความว่า...ที่ดินทั้งหมดทั้งมวล จะตกเป็นของรัฐ ตามระบบคอมมูนฯ ในทันที!
มากกว่านั้น...บทบาทและสถานะอะไร? ที่ฮ่องกงเคยมีและเคยเป็น โดยเฉพาะความเป็น...ศูนย์กลางการค้า ศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการเงิน ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางการขนส่งทางทะเล และอีกหลายๆ ความเป็นศูนย์กลาง จะถูกยกเลิก และประเคนสิ่งที่ฮ่องกงเคยเป็นมีและเคยเป็น ไปให้กับ...เมืองเซิ่นเจิ้น เมืองใหญ่ร่วมมณฑลกวางตุ้ง
แล้วฮ่องกงจะเหลือค่าเพียง “เมืองที่เคยรุ่งเรือง” เท่านั้น
ไม่เพียง...เศรษฐีฮ่องกงจะย้ายไปเป็นพลเมืองของหลายประเทศในยุโรป และอเมริกาเหนือ รวมถึงในเอเชียและออสเตรเลีย ในเมืองไทยเอง ก็มีข่าวทำนอง เศรษฐีฮ่องกงจะย้ายเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยแบบพักระยะยาว ผ่านแคมเปญ “บัตรอิลิทการ์ด” ซึ่งสามารถทำได้...
และเศรษฐีฮ่องกงทุกคนคิดเหมือนกัน “สินทรัพย์คงที่” อะไรที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ได้ จำต้องรีบทำ หรือก่อนที่จะนำไปแลกเป็นเงินหยวน หากเปลี่ยนเป็นทองคำแท่งได้ ก็ต้องรีบทำเช่นกัน
นั่นมีส่วนทำให้ราคาทองคำนับจากนี้...พุ่งพรวดขึ้นไปได้อีก
แม้ นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ จะออกมายืนยันว่า...ราคาทองคำในไทย จะยังไม่ขยับถึงบาทละ 30,000 บาท แต่ถ้าดูราคาในช่วง 1-2 วันนี้ ระดับราคาสูงสุดตลอดทั้งวันแตะและทะลุ 29,000 บาทไปแล้ว ฉะนั้น โอกกาสที่ราคาทองคำในประเทศไทยจะทะยานเกิน 30,000 บาท จึงไม่ใช่เรื่องยาก หากพิจารณาจากข้อมูลที่ สำนักข่าว “เนตรทิพย์” นำเสนอมาตั้งแต่ต้น...
และที่ “มั่วนิ่ม!” ตามกันมา ก็คือ...ขบวนการฟอกเงิน ทั้งจากแก๊งยาเสพติด ค้าของเถื่อน บ่อนพนัน-โต๊ะพนันฟุตบอลผิดกฎหมาย พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง แล้วหาใบเสร็จมาพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินไม่ได้...เหล่านั้น ชอบนัก...ซื้อทองคำแท่งสะสม ซื้อที่ดินสะสม ฟอกเงินสกปรกให้เป็นสะอาด
ยิ่งกดดันให้ราคาทองคำขยับพุ่งขึ้นไปหลักการตลาด “ดีมานด์ - ซัพพลายด์”
และทั้งหมดที่ สำนักข่าว “เนตรทิพย์” อยากจะบอกก็คือ...คนจนหมดสิทธิ์จะถือครองทองคำในยามนี้ ขณะที่คนรวย...ก็ต้อง “จ่ายแพง” เพื่อที่จะครองครองโลหะมีค่าชนิดนี้
หากรัฐบาลไทย...มีความสามารถในการบริหารจัดการ ทั้งระบบการบ้านการเมือง และระบบเศรษฐกิจได้ดีกว่านี้ ไม่สร้างภาวะความล้มละลายทางเครดิต เหมือนเช่นที่เป็นอยู่...คนไทยจะไม่ต้องเสียเปรียบนายทุนค้าทองคำอย่างที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
คนกลุ่มนี้...ในอดีตบางตระกูลก็ร่ำรวยจากการค้าทองคำเถื่อน ขณะที่บางตระกูลนับจากอดีตถึงปัจจุบัน...ยังคงหากินอยู่กับการเป็นแหล่งฟอกเงินให้กับบรรดาแก๊งผิดกฎหมายสารพัด โดยที่คนของรัฐ ก็มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นใจด้วย
คนบริสุทธิ์บริส่วนใหญ่ในประเทศนี้...หากมีสิทธิ์จะครอบครองทองคำ คงเป็นได้แค่ระดับ “หนวดกุ้ง” ที่แค่คนรวยเอะอะโวยวาย...ก็นอนสะดุ้งกันแล้ว!