ขณะที่เศรษฐกิจไทยทำท่าจะกู่ไม่กลับ จากที่ต้องเผชิญกับวิกฤตไวรัสสูบนรก “โควิด- 19” ที่ทำเอาทุกอณูของระบบเศรษฐกิจพังครืน ภาคธุรกิจ บริการ และการท่องเที่ยวจมปลักระอักกันถ้วนหน้า โดยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมาได้เมื่อใด
ความหวังของประชาชนคนไทยที่จะได้เห็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดึงความเชื่อมั่นและเป็นหนทางฟื้นฟูเศรษฐกิจได้บ้าง ก็มา "พังครืน" ลงไปอีก เมื่อ นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีคลัง หนึ่งเดียวดันโบกมือลาไปคน ทั้งที่นั่งตำแหน่งไม่ถึงขวบเดือน
มิหนำซ้ำสถานะคลังล่าสุดยังจ่อ “หืดจับ” ชักหน้าไม่ถึงหลัง รัฐบาลต้องไฟเขียวให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรกู้เงินเพิ่มเติมในปีงบ 2563 อีก 2.14 แสนล้านบาท จากเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2563 จำนวน 4.69 แสนล้านบาทที่เต็มเพดานไปแล้ว กดดันเพดานหนี้สาธารณะจ่อจะทะลุ 60% อยู่รอมร่อ
แม้ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปลอบโยนนักลงทุนน้อย-ใหญ่ว่า "ไม่อยากให้ผู้คนไปติดเกณฑ์ที่ใช้ในภาวะเศรษฐกิจปกติ เช่น การก่อหนี้ต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี เพราะขณะนี้เศรษฐกิจหดตัวทั่วโลก เราก็ต้องทบทวนตามสถานการณ์ ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจมีเพียงภาครัฐที่ทำได้
ดังนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ใกล้ระดับ 60% จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ถ้าเป็นการใช้เงินกู้ในโครงการที่ดีมีประสิทธิผลกระตุ้นการจ้างงาน การทำโครงสร้างพื้นฐานสอดคล้องวิถีชีวิตใหม่ (นิวนอร์มอล)"
ฟังถ้อยแถลงของผู้ว่าการ ธปท. ที่จะหมดวาระลงในสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้ว ก็ได้แต่หดหู่ใจ เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกล่าสุดที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์โดย “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (ศบศ)” เตรียมจะเทกระจาด โดยจะแจกเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป 15 ล้านคน ๆ ละ 3,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน เพื่อให้คนเหล่านั้นนำเงินไปใช้จ่ายใช้ซื้อสินค้าและบริการ (รวมไปถึงช็อปในร้านสะดวกซื้อหรือร้านค้าโดยทั่วไป) วงเงินร่วม 45,000 ล้านบาท
โดยคาดว่า เมื่อรวมกับเม็ดเงินในส่วนที่ผู้ได้สิทธิต้องร่วมออก (50/50) จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากกว่า 90,000 ล้านบาท และหากเป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าเงินจะต้องหมุนไปอีก 4-5 รอบแล้ว เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับระบบเศรษฐกิจได้กว่า 450,000 ล้านบาท (ปรบมือกันรัวๆ ซิคร้าบ รออะไร)
แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดี เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกแล้วระลอกเล่าที่รัฐบาลเทกระจาดลงไปนับแสนล้านบาทก่อนหน้านั้น สร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดี ไม่งั้นคงไม่ขวัญหนีดีฝ่อกันอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินนับแสนล้านหายไปจากระบบนั้น ก็เพราะการหลอมรวมทางเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล และ 4/5 จี ได้ทำให้ทุกอณูของระบบเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การซื้อขายสินค้าและบริการได้ย้ายมาอยู่บนโลกดิจิทัลออนไลน์ ไปหมดแล้ว
ขณะที่ประเทศไทยเรา แม้ภาคส่วนต่างๆ จะเล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีที่กำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศ เห็นภาคการเงิน บริการการเงิน สถาบันการเงินได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหลอมรวมทางเทคโนโลยีได้เห็นการเติบโตของธุรกิจขนส่งด่วนที่ผุดขึ้นมาเห็นดอกเห็ด จะ Grab Food Lineman เคอร์รี่ ฯลฯ เห็นแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่าง FB Line Google ตลาดการค้าออนไลน์ e commerce Lazada Alibaba ฯลฯ
แต่ประเทศไทยเราก็หาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหล่านั้นเอาไว้ได้ ด้วยเหตุที่แพลตฟอร์มบริการบนโลกออนไลน์ หรือที่เรียก Over the Top: OTT ของเรายังคงมีความล้าหลัง ไม่สามารถจะรองรับการเติบโตของธุรกรรมออนไลน์เหล่านี้ได้
เม็ดเงินที่รัฐบาลเทกระจาดลงไปให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย เมื่อถูกใช้บนโลกออนไลน์ ซื้อของผ่านโลกออนไลน์ ผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหลายแหล่ จึงถูกดูดออกไปจากระบบไปต่างประเทศกันหมด โดยที่เราได้แต่นั่งทำตาปริบๆ แม้เราจะเปิดให้บริการ 5 จีได้ก่อนใครในภูมิภาคนี้ แต่หน่วยงานที่จะมาขับเคลื่อนต่อยอด ก็ยังมะงุมมะงาหรา
การสรรหา “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)" ที่ถูกหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปิดสวิตซ์ไปเมื่อ 2 ปีก่อน ยังไม่รู้จะทอดยาวไปอีกนานแค่ไหน
จึงทำให้ความได้เปรียบที่ไทยมี จ่อจะกลายเป็นความเสียเปรียบถูกบริการ OTT ต่างชาติ "ชุบมือเปิบ" ออกไปอีก!!!