หาก “กองทัพเมียนมา” จะมีคำถามผ่านถึง “รัฐบาลไทย” และ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ่งนี้...น่าจะเป็นคำตอบ ในห้วงเวลาที่ต้องเจอกับแรงกดดันของนานาชาติ โดยเฉพาะจาก “พี่ใหญ่” สหรัฐฯ และชาติตะวันตกการที่ “กองทัพเมียนมา” ทำการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญที่ตัวเองมีส่วนสำคัญในการร่างมันขึ้นมา...เมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564กลุ่มคนที่แอบเชียร์ลึกๆ อยู่ในใจ คงไม่พ้น...รัฐบาลไทยชุดนี้ โดยเฉพาะกับคนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานั่นเพราะเจ้าตัวเคยมีส่วนร่วมในภารกิจเดียวกัน ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 และ 2557แม้รัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2562 แต่เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่หลายคนทั้งในและนอกประเทศ ต่างมองไม่เห็นเป็น “กฎหมายสูงสุด” ของประชาชนอีกทั้ง การมี 250 ส.ว. ที่ คสช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งกันมานั้น พุ่งเป้าจะโหวตให้พรรคที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 2 อย่าง...พรรคพลังประชารัฐ ได้กลายเป็น...แกนหลักรวมเสียง ส.ส.ต่างพรรค “จัดตั้งรัฐบาล” แข่งกับพรรคเพื่อไทย ที่มีเสียงมากเป็นอันดับ 1ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญ และเครื่อข่ายองค์กรรัฐที่ คสช.วางไว้ จึงทำให้เกิดการยุบพรรคฝ่ายค้าน และดึงตัว ส.ส. “งูเห่า” เข้าพรรคฯ ตัวเองทั้งหมดนี้...ไม่ได้ทำให้นานาอารยะประเทศ มองรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น...รัฐบาลของประชาชน และมีความเป็นประชาธิปไตย 100% แต่อย่างใด?สร้างแรงกดดันในเวทีโลก ทั้งในระดับการเมืองและเศรษฐกิจมากมายเมื่อมีประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง...เมียนมา ที่เพิ่ง “ยึดอำนาจ” จากแกนนำพรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ด้วยข้อหา “โกงการเลือกตั้ง” โดยเฉพาะการจับกุมและคุมขัง “นางอองซาน ซูจี” รวมถึง ปธน. วี่น-มหยิ่น และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเมียนมา นั้นรัฐบาลไทย ที่มีรากเหง้ามาจาก คสช. จึงไม่ถูกโดดเดี่ยว...เดียวดาย! เพราะมี “เหยื่อถูกก่นด่า-รายใหม่” อย่าง... “กองทัพเมียนมา” มาแทนที่...ไม่เพียงเสียงเรียกร้องและการรุมประนามจากทั่วโลก นำโดย “พี่เบิ้ม” สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยสหภาพยุโรป (อียู) ให้ปล่อยตัว “นางอองซาน ซูจี” และคนอื่นๆ หากยังข่มขู่ด้วยว่า...หาก “กองทัพเมียนมา” ไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบของกฎหมาย หรือปิดกั้นการแสดงความเห็นและการออกมาชุมนุมของประชาชน ล่ะก็สหรัฐฯ และโลกจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ “กองทัพเมียนมา” อยู่ยาก!“สหรัฐฯ คัดค้านความพยายามใดๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งหรือขัดขวางการเปลี่ยนผ่านตามระบอบประชาธิปไตยของเมียนมา และจะดำเนินการกับผู้ที่รับผิดชอบหากขั้นตอนเหล่านี้ไม่ย้อนกลับ สหรัฐฯ เรียกร้องให้กองทัพและทุกฝ่ายยึดมั่นในบรรทัดฐานประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมในวันนี้”ข้างต้น...คือ เสียงที่ดังก้องออกมาจากทำเนียบขาว ก่อนที่ รมต.ต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯ อย่าง...นายแอนโทนี บลิงเคน จะได้เรียกร้องให้ “กองทัพเมียนมา” ปล่อยตัวเจ้าหน้าที่รัฐบาลและแกนนำภาคประชาสังคมทุกคน และเคารพเจตจำนงของชาวเมียนมา ตามที่ได้แสดงออกในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563รัฐบาลไทยเอง มีประสบการณ์จากแรงกดดันจากนานาชาติเช่นนี้มาก่อน และน่าจะมีความพร้อมต่อการจะให้คำปรึกษากับ “กองทัพเมียนมา” มากที่สุด!พล.อ.ประยุทธ์ และ “พี่น้อง 3 ป.” ต่างรู้ดีว่า...ผลประโยชน์ของประเทศชาตินั้น “สำคัญที่สุด!”รัฐบาลสหรัฐฯ และชาติยุโรป ต่างก็รู้และคิดเยี่ยงนั้นด้านหนึ่ง...ออกมาเรียกร้อยและกดดัน “กองทัพเมียนมา” แต่อีกด้านหนึ่ง “ทีมเจรจาผลประโยชน์” ก็น่าจะรอทำหน้าที่สำคัญของตัวเอง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศพวกเขาขนาดประเทศไทย...สูญสิ้นทรัพยากรธรรมชาติไปมากมาย ทว่ายังมีผลประโยชน์มากพอจะรองรับ “ทีมเจรจา” ของชาติมหาอำนาจเหล่านี้การเจรจาและทำสัญญาจัดซื้อเครื่องบิน รถถัง เรือดำน้ำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารอื่นๆ รวมถึงการเปิดช่องให้มีการเจรจาผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและการค้า ทั้งบนดินและใต้ดินมีให้สังคมไทยได้ซุบซิบมากมาย!!!ประสาอะไรกับประเทศเมียนมา ที่ล้าหลังกว่าไทยมาก ซึ่งเหมาะสมที่สุด หาก “ทีมเจรจา” ผลประโยชน์ของชาติ จะคุยกันในทางลับยิ่งประเทศนี้...มากไปด้วยทรัพยากรใต้ดินและบนดิน ทั้ง...ป่าไม้ แร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ ยิ่งต้องคุย “ทางลับ” มากขึ้น...หน้าฉาก...ว่ากันไปหลังฉาก...ก็ต้องมาเจรจากัน “อะไรบ้าง...ที่จะมีให้ฉัน?”นั่นคือ...ความเป็นจริงที่โลกต้องรู้!ฉะนั้น โลก หรือนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย์ในไทย จงได้อย่าคาดหวังจะได้เห็น “แรงกดดันแท้จริง” จากชาติมหาอำนาจ ที่จะกดทับ “กองทัพเมียนมา” เช่นภาพที่พวกเขาแสดงกันออกมาสิ่งนี้...รัฐบาลไทย และ “พี่น้อง 3 ป.” ต่างรู้เช่น เห็นชาติ “สันดานดิบ-เถื่อน” ของมหาอำนาจเหล่านี้เป็นอย่างดี!หากจะมีคำปรึกษาให้กับ “กองทัพเมียนมา” ล่ะก็...คงไม่พ้นคำแนะนำ “ตีมึน” ไปก่อน...ในช่วงเวลานี้ จัดการปัญหาภายในประเทศ ด้วยการ “ปิดปากประชาชน” และ “ปิดกั้นการสื่อสารสู่โลกภายนอก” จากนั้น...จัดการ “จับกุมและคุมขัง” นำไปสู่การ “ปรับทัศนคติ”....ซื้อและยื้อเวลาให้เกิน 6 เดือน...พร้อมกับเปิดช่องให้ “ฝ่ายตรงข้ามชาติตะวันตก” เข้ามาเจรจา “ต้าอ่วย” ในเชิงผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและการค้า ให้มากที่สุดแต่อย่า...แก้ผ้าโชว์จนไม่เหลืออะไรปกปิด และอย่าเพิ่งมอบ “ผลประโยชน์อันเป็นหัวใจ” ให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเชื่อว่า...หลัง 6 เดือนจากการทำรัฐประหารไปแล้ว จะมี “ทีมเจรจา” มาชวน “กองทัพเมียนมา” หรือรัฐบาลที่ภายใต้อาณัติของพวกเขา...คุยในบางเรื่องที่จะต้องคุยซึ่งนั่นเพียงพอจะทำให้ “กองทัพเมียนมา” และรัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมา อยู่ได้เช่นที่ รัฐบาล คสช.แปลงร่าง...อยู่ได้และอยู่มาจนถึงปัจจุบันและทั้งหมดนี้...น่าจะเป็นคำแนะนำ “ชั้นดี” จาก...เพื่อนบ้านรั้วติดกัน มีประสบการณ์ทางการเมืองคล้ายๆ กัน!!!