แค้นใจกับปรากฏการณ์ “น้าค่อมเอ็ฟเฟ็กต์” แค่ไหน? จำต้องเก็บงำไว้ในใจ แล้วออกไปรับเงินแจก “เศษเนื้อข้างเขียง” รอบใหม่ ที่รัฐบาลจัดเตรียมวงเงิน 2.38 แสนล้านบาท เยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจ 2 ระยะ รวม 7 มาตรการ/โครงการ รอบแรก 4 เริ่ม พ.ค.-มิ.ย. รอบหลัง เริ่ม ก.ค.- ธ.ค. รอถึงเวลาของประชาชนมาถึง ค่อยเปิดปฏิบัติการสั่งสอนกันเสียที
ละเลงเงินแผ่นดินกันเพลิน อาศัยวิกฤตไวรัสโควิด-19 กู้เงินมาแจก...หวังซื้อใจประชาชนกันล่วงหน้า
ท่ามกลางสัญญาณ “อยู่ต่อไม่ไหว” เพราะความล้มเหลวในการบริหาร “อำนาจรัฐ” ที่ผิดพลาดอย่างมหันต์...ป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯ ไม่ได้ แถมการจัดหาและจัดสรรวัคซีนต่อต้านไวรัสโควิดฯ ยังทำได้ล่าช้า จำกัดวงเฉพาะ “ยี่ห้อ” ที่คนในรัฐบาลจะได้ประโยชน์หรือไม่?
กระทั่ง ไม่สามารถจะนำไปแจกจ่ายและฉีดให้กับคนไทยได้อย่างที่ถูกคาดหวังจากสังคมไทย แล้วที่ทำได้...ก็น้อยนิดเต็มทน แค่ไม่ถึง 0.5% ของประชาชน 67 ล้านคน
ปรากฏการณ์ “น้าค่อม เอ็ฟเฟ็กต์” ที่ผู้คนจำนวนมาก จากที่ไม่เคยสนใจการเมือง กลับพาเหรดออกมาก่นด่ารัฐบาล กับความล้มเหลวเรื่องการจัดการโควิดฯและวัคซีนโควิดฯ
เหตุเพราะ...ไปทำให้เหล่าคนดังและคนไม่ดัง “ชิงตายไปก่อนกำหนด” เพราะเชื้อร้ายไวรัสตัวนี้
ถ้ารัฐบาลและผู้รับผิดชอบภารกิจนี้...คิดเป็น คิดทัน และคิดรอบครอบ ยึดผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และเงินงบประมาณแต่ละปีมากกว่า 3 ล้านล้านบาท มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาไวรัสโควิดฯ แบบมืออาชีพทำ ล่ะก็
ผู้ติดเชื้อรายใหม่...เฉพาะในเดือนเมษายน 2564 เดือนที่เป็น “จุดเริ่มต้น” ของการแพร่ระบาดโควิดฯรอบ 3 เพียงเดือนเดียว...มันคงจะไม่ทะลุมากถึง 36,285 ราย
และมียอดคนตายเพิ่มขึ้นพรวดเดียวถึง 109 คน
ขณะที่เดือนพฤษภาคม แม้บางวัน...จะมียอด “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” ต่ำกว่า “2 พัน” แต่นั่น...ก็เป็นแค่บางวัน กระนั้นก็ไม่เท่ากับความตาย ที่คนไทย...จะทยอยตาย! สร้างสถิติใหม่กันไปเรื่อยๆ
แถมเกิดคลัสเตอร์...กลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มและขยายวงกว้างไม่รู้จักจบสิ้น!
ความวัว “คลัสเตอร์ ทองหล่อ” ยังไม่ทันจางหาย ความควาย...จากคลัสเตอร์อื่นๆ ทั้งที่ชุมชนคลองเตย จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดชลบุรี และอีกหลายพื้นที่ กำลังจะ “ขึ้นชั้น” กลายเป็น...
คลัสเตอร์แห่งความตายรอบใหม่
ท่ามกลางเสียงก่นด่าและสาปแช่ง! กระนั้น เมื่อรัฐบาล แจกเงินให้คนไทย...ก็ไม่ควรปฏิเสธ! เพราะในที่สุด รัฐบาลจะบีบแบบ “มัดมือชก” จนประชาชนหน้าเขียว รีดเอาเงินจากสารพัดภาษี ไปใช้โปะหนี้! ที่กู้ยืมมา...
พูดง่ายๆ “ด่าไป แต่เงินแจกฟรี! ก็ต้องเอา!” ในเมื่อ...ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า และกองทัพต้องเดินด้วยท้อง จะประชดความเหลวแหลก โดยไม่รับเงินแจกฟรี! จากรัฐบาล...ไม่ได้เด็ดขาด
มีเงิน มีอาหาร จะได้มีแรง...ก่นด่าและสาปแช่ง! กันต่อไป
ล่าสุดคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 กับแผนการละเลงงบประมาณของชาติ ด้วยสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น...มาตรการเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิดฯ แยกเป็น...มาตรการระยะที่ 1 ช่วงเดือนพฤภาษคมถึงมิถุนายน และระยะที่ 2 ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564
สำรวจโครงการในระยะที่ 1 ประกอบด้วย...มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิดฯ วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยมี 2 ธนาคารของรัฐ คือ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ควักออกมาให้กู้แห่งละ 10,000 ล้านบาท
เปิดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดฯ ไม่ว่าจะเป็น...เกษตรกร คนทำงานหาเช้ากินค่ำ คนทำงานเงินเดือนจำ ฯลฯ ยกเว้น! คนกินเดือนจากรัฐ สามารถกู้ได้คนละ 10,000 บาท ดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน มีระยะเวลาปลอดหนี้ 6 เดือนแรก จากอายุเงินกู้ 3 ปี
และโครงการพักชำระหนี้ ที่ผู้ประกอบเอสเอ็มอีมีต่อธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ โดยยืดการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย จากเดิม 30 มิถุนายน ไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม หวังให้ภาคธุรกิจได้เซฟเม็ดเงิน เพื่อจะได้นำไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบ
ทั้ง 2 โครงการนี้ คาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน
ตามมาด้วย มาตรการบรรเทาภาระประชาชน ลดค่าน้ำและค่าไฟให้! บ้านไหนหรือธุรกิจใด? ที่ใช้น้ำประปาในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ได้รับส่วนลด 10% สำหรับค่าไฟฟ้า บ้านไหนใช้ไม่เกิน 150 หน่วย จะได้ใช้ฟรี! 90 หน่วย ส่วนที่เกิน...จ่ายเอง ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก ให้ใช้ไฟฟรี! 50 หน่วย
แล้วยังจะมี มาตรการรัฐต่อเนื่อง...จากที่ภาครัฐได้ทำและยังไม่หมดอายุการใช้งาน แต่สิทธิการใช้เงิน 7,000 บาท ของประชาชนที่มีกับโครงการเราชนะ รวม 32.9 ล้านคนนั้น พบว่า...มากถึง 24.9 ล้านคน ที่ใช้สิทธิเต็มวงเงินไปแล้ว
นั่นจึงเป็นที่มาทำให้ รัฐบาลเจียดเงินราว 8.5 หมื่นล้านบาท มาใช้กับโครงการนี้ พ่วงต่อไปกับโครงการมาตรา 33 เรารักกัน ซึ่งต้องใช้วงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท เพราะต่างก็แจกเงินแก่คนในโครงการรวม 2 สัปดาห์ๆ ละ 1,000 บาท หรือ 2,000 บาทต่อคน เพื่อต่ออายุการใช้จ่ายออกไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
ทั้งโครงการเราชนะและเรารักกัน ครอบคลุมกลุ่มคน 32.9 ล้านคน และ 9.27 ล้านคนตามลำดับ
นั่นเฉพาะมาตรการระยะที่ 1 ยังมีมาตรการระยะที่ 2 ทยอยตามมากันอีก ไม่ว่าจะเป็น...โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับ “บัตรคนจน” 13.6 ล้านคน และประชาชนกลุ่ม “พิเศษ” อีก 2.5 ล้านคน ทุกคนจะได้เงินเพิ่มอีก 200 บาท รวม 6 เดือน หรือ 1,200 บาทต่อคน คิดเป็นเงินรวมราว 19.32 หมื่นล้านบาท
โครงการคนละครึ่งเฟส 3 ครอบคลุม 31 ล้านคน รับเงินไปอีกคนละ 3,000 บาท หรือคิดเป็นเงินราว 9.3 หมื่นล้านบาท
และโครงการใหม่ล่าสุด หวังฉุดเอาเงินฝากของคนไทย ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ นั่นคือ โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการใช้จ่ายเงินของประชาชน ผ่านการซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ของใช้จำเป็นและอื่นๆ ด้วยการแจก “บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์” หรือ e-Voucher คนละ 5,000 - 7,000 บาท คาดว่าจะมีคนร่วมโครงการนี้ ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน และใช้เงินงบประมาณราว 2-2.8 หมื่นล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้สวมหมวกในภารกิจนี้หลายใบ ตั้งแต่...นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และผอ.ศบค. ถืออำนาจสูงสุดในภาวะไม่ปกติ แต่เพียงผู้เดียว ผ่าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คาดว่า...เม็ดเงินที่รัฐบาลใส่ไปในรอบใหม่ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดโควิดฯ ระลอก 3 รวม 2.35 แสนล้านบาท นั้น
จะมีส่วนกระตุ้นและดันเศรษฐกิจของไทยได้ไม่ต่ำกว่า 2 เท่าตัว หรือราว 4.73 แสนล้านบาท
ขณะที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ระบุว่า รอบก่อนหน้านี้...รัฐบาลใช้จ่ายเงินหมดไปกับการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจไปแล้วมากกว่า 6 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลหวังว่าเม็ดเงินที่ใส่ไปใหม่ ผ่านโครงการในระยะที่ 1 และ 2 จะมีส่วนช่วยเหลือประชาชน ภาคธุรกิจ กระทั่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาวะที่รายได้จากการท่องเที่ยวหดหายไปได้
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการใหม่ โดยเฉพาะระยะที่ 1 รัฐบาลจะใช้เงินราว 8.85 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ระยะที่ 2 จะใช้จ่ายเพิ่มเป็น 1.4 แสนล้านบาท รวมทั้ง 2 ระยะ คิดเป็นวงเงินรวม 2.38 แสนล้านบาท
ถึงตรงนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ต้องเชียร์ให้คนไทย...ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับรัฐบาล จำต้องฝืนใจ...หยิบจับ “เศษเนื้อข้างเขียง” ก้อนนี้...เพื่อเอาไปประทังชีวิตไปก่อน รอให้เวลาของประชาชนมาถึง เมื่อนั้น...คงต้องสั่งสอนใครบางคน? และคนบางกลุ่ม? ทำนอง...
เป็นแค่...หัวหน้ายาม อย่าสะเออะมาบริหารองค์กร ก่อนทุกอย่างจะสายและฉิบหายกันไปทั่วอีกหรือไม่?