ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกเลิกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ ”แอชตัน คอนโด” ซึ่งมีการพาดพิงโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มโนเบิลนั้น ล่าสุดได้ทำหนังสือชี้แจง โดยระบุว่า..
โนเบิ้ลดิ้นแจงทางเข้า-ออกคอนโดหรู!
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว และ โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงดังนี้..
1. โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว ได้ขออนุญาตก่อสร้าง โดยใช้ทางเข้า-ออกจากถนนรัชดาภิเษก [ซึ่งเป็นทางเข้า-ออกของอาคารจอดรถแล้วจรของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)] โดยที่ดินเดิมของโครงการฯ มีทางเข้า-ออกสู่ถนนสาธารณะ แต่ถูกเวนคืนโดย รฟม. ส่งผลให้ที่ดินที่เป็นที่ตั้งโครงการฯ ไม่มีทางเข้า-ออก ด้วยเหตุนี้ รฟม. จึงชอบที่จะอนุญาตให้ใช้ทางเข้า-ออกของอาคารจอดรถแล้วจรดังกล่าว เป็นทางเข้า-ออกของโครงการฯ ได้ เพื่อคงสิทธิในการใช้ทางเข้า-ออกสู่ถนนสาธารณะที่มีอยู่เดิมโดยชอบก่อนการเวนคืน โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งการที่ รฟม. อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้วัตถุประสงค์ของการเวนคืนเดิมเสียไปและ รฟม. ยังคงใช้ที่ดินได้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนตามปกติ โดยอาคารจอดรถของ รฟม. ดังกล่าวได้เปิดใช้งานแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน กรณีนี้จึงเห็นได้ชัดว่า รูปแบบการใช้งานเป็นไปตามวัตถุประสงค์เดิมทุกประการ ไม่ได้มีการดัดแปลงรูปแบบการใช้งานที่มีอยู่เดิม ย้ายตำแหน่ง หรือเปลี่ยนแปลงความกว้างของทางเข้า-ออกแต่อย่างใด ทางเข้า - ออกของโครงการจึงเป็นไปตามกฎหมายแล้ว
2. โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ได้ขออนุญาตก่อสร้าง โดยใช้ทางเข้า-ออก จากถนนรัชดาภิเษก ซอย 6 โดยที่ดินเดิมของโครงการฯ ได้ถูกเวนคืนโดย รฟม. บางส่วน เพื่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์วัฒนธรรม อาคารจอดรถแล้วจร และลานจอดรถเพิ่มเติม ส่งผลให้ที่ดินโครงการฯ ไม่มีทางเข้าออก ด้วยเหตุนี้ รฟม. จึงชอบที่จะอนุญาตให้ใช้ที่ดินบางส่วน เพื่อวัตถุประสงค์ในการผ่านเข้า-ออกของโครงการฯ เพื่อคงสิทธิในการใช้ทางเข้า-ออกสู่ถนนสาธารณะที่มีอยู่เดิมโดยชอบก่อนการเวนคืน โดยไม่มีเงื่อนระยะเวลา ซึ่งการที่ รฟม. อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ดังกล่าวเป็นการใช้ตามวัตถุประสงค์เดิมทุกประการ ไม่ได้มีการดัดแปลงรูปแบบการใช้งานที่มีอยู่เดิม ย้ายตำแหน่ง หรือเปลี่ยนแปลงความกว้างของทางเข้า-ออกแต่อย่างใด เพราะแต่เดิม รฟม. ก็ใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นทางเข้า-ออกของลานจอดรถอยู่แล้ว จึงสามารถกระทำได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้นำที่ดินอีกส่วนหนึ่งของบริษัทฯ จดทะเบียนเป็นภาระจำยอม เพื่อใช้เป็นทางเข้า-ออก ร่วมกันของโครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ด้วย ดังนั้น ทางเข้า - ออกของโครงการจึงเป็นไปตามกฎหมายแล้ว
บริษัทฯ ขอให้ความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า และยืนยันว่า โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว , โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และโครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ได้รับอนุญาตก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย และได้ดำเนินการก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
อดีตผู้ว่า รฟม.คาใจ! ยันบิ๊กอสังหาฯ 14 โครงการเหมือนกัน!
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล อดีตผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ “แอชตัน อโศก (Ashton Asoke)” ด้วยเหตุที่ดินเวนคืนของ รฟม. ที่บริษัทนำไปอ้างนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะ และหน่วยงานรัฐไม่อาจนำที่ดินเวนคืนไปให้เอกชนทำโครงการได้ จึงทำให้หนังสืออนุญาตผ่านทางเข้า-ออก ที่ออกโดย รฟม. ไม่ชอบด้วยกฎหมายส่งผลให้ใบอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยนั้น
นายยงสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าฝ่ายบริหาร รฟม. ชุดปัจจุบัน ไปให้ข้อมูลอะไรต่อศาลปกครอง เพราะศาลเองก็ไม่ได้เชิญบอร์ดและฝ่ายบริหาร รฟม.ที่อนุมัติให้บริษัทอนันดาใช้ทางผ่านเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า เพื่อเป็นทางผ่านเข้า-ออกโครงการดังกล่าว เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องจำเพาะผู้ว่า รฟม. เท่านั้น ไม่ได้ระบุตัวบุคคลจึงทำให้ไม่ทราบว่าผู้บริหาร รฟม. ชุดปัจจุบันไปให้การอะไร
ยัน รฟม.อนุมัติผ่านทางเข้า-ออกตาม กม.
แต่ในส่วนของการอนุมัติผ่านทางเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า รฟม. นั้น ยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ ปี 2543 ที่มีการออกระเบียบรองรับการขออนุญาตผ่านทางในลักษณะดังกล่าวเอาไว้อย่างรัดกุมมาตั้งแต่ปี 2547 และ 2556 แล้ว โดยการอนุมัติให้แก่โครงการพัฒนาอสังหาฯ โครงการอื่น ๆ ทั้งก่อน และหลังโครงการแอชตัน อโศก ไปถึง 14 โครงการ
ยันได้สิทธิทางจำเป็น-ขยายทางเข้า-ออก ตามระเบียบ
ทั้งนี้ ในหลักการผู้ที่จะขออนุญาตผ่านทางนั้น หากมีที่ดินด้านในติดกับสถานีรถไฟฟ้า หรือเป็นที่ดินเดิมที่ถูก รฟม. เวนคืน จนทำให้กลายเป็นที่ตาบอด ย่อมสามารถขออนุญาตผ่านทางเข้าออกของ รฟม. เป็นทางจำเป็นได้ ซึ่ง รฟม. มีการวางระเบียบรองรับเอาไว้หมด เพราะภารกิจและพันธกิจของ รฟม.นั้น ต้องการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงการรายรอบสถานีรถไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้รถไฟฟ้า ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงอยู่แล้ว
โครงการ Ashton Asoke ก็เช่นกัน ที่ดินเดิมนั้นติดถนนอโศกมนตรีอยู่แล้ว แต่ถูก รฟม. เวนคืนที่ไปบางส่วน จนทำให้กลายเป็นที่ตาบอดไป เมื่อเจ้าของเดิมฟ้องศาลขอเปิดทางเข้า-ออก รฟม.ก็ยินยอมเปิดทางจำเป็นให้ตามคำสั่งศาลประมาณ 6.40 เมตร และภายหลังเมื่อกลุ่มอนันดาฯ ซื้อที่ดินดังกล่าวเพื่อพัฒนาโครงการ ก็ยื่นเรื่องขอขยายทางเข้า-ออกที่ดินเพิ่มเป็น 13 เมตร เพื่อที่บริษัทจะนำไปขออนุญาตพัฒนาโครงการอสังหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ทาง รฟม.เอง ก็มีระเบียบรองรับกรณีดังกล่าวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดยในทางปฏิบัติตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีการอนุมัติให้แก่โครงการอื่น ๆ ทั้งก่อนและหลังโครงการแอชตันฯ นี้อยู่แล้ว เพียงแต่ในรายละเอียดแต่ละโครงการนั้นอาจแตกต่างกันไป บางโครงการนั้นทำเรื่องขอผ่านทางเข้า-ออก เฉยๆ ไม่ได้นำไปขอใบอนุญาต บางโครงการก็ขอขยายทางเข้า-ออกแบบเดียวกับแอชตันอโศก เพื่อนำไปขอใบอนุญาตก่อสร้างตึกสูง ซึ่งทั้ง 14 โครงการที่ รฟม. อนุมัติไปนั้น ล้วนแต่นำไปขออนุญาตก่อสร้างตึกสูงกับหน่วยงานด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่เข้าใจว่า แล้วเหตุใดมาแจ๊คพ็อตเอาที่โครงการแอชตันอโศกเพียงโครงการเดียว”
เปิดหลักเกณฑ์ขออนุมัติผ่านทาง รฟม.
ในส่วนของการอนุญาตผ่านทางเข้า-ออกนั้น อดีตผู้ว่า รฟม. ยืนยันว่า เป็นการดำเนินการตามระเบียบ รฟม. ข้อ 36 พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ ที่วางหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้เอาไว้ชัดเจน “การกำหนดที่ตั้งหรือจุดขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้า ให้ รฟม. คำนึงถึงความเหมาะสมทางเทคนิค ความปลอดภัยในการเดินรถไฟฟ้า ความสะดวกของผู้โดยสาร และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ในกรณีที่สถานีรถไฟฟ้า ทางเดินคนโดยสาร หรือทางเข้าออกสถานีรถไฟฟ้าอาจเชื่อมติดต่อกับอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นได้ และการเชื่อมติดต่อนั้นอาจทำให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นได้รับประโยชน์ รฟม. อาจจะพิจารณาอนุญาตโดยกำหนดเงื่อนไข หรือผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ รฟม.อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยหรือไม่ก็ได้”
ทั้งนี้ การอนุมัติผ่านทางเข้า-ออกโครงการดังกล่าว รวมไปถึงโครงการพัฒนาอสังหาฯอื่น ๆ รายรอบสถานี ล้วนเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ข้อนี้ ซึ่งในส่วนของแอชตันอโศกนั้นก็ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดรฟม.ทุกประการ และก็มีการอนุมัติให้กับโครงการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ที่แตกต่างกันในรายละเอียดมีเพียงเล็กน้อยเพราะกรณีของแอชตัน อโสกนั้น มีการขอขยับทางเข้า-ออกจากเดิมมาอีกด้านที่ติดกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ เท่านั้น แต่ก็เป็นที่ดินของ รฟม.และไม่ได้ทำให้การใช้ประโยชน์ในพื้นที่เดิมเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารหรือตึกสูงนั้น เป็นเรื่องของ กทม. และกรมโยธาธิการและผังเมือง ไม่ใช่อำนาจของ รฟม. ซึ่งทาง รฟม. เพียงแต่พิจารณาอนุมัติผ่านทางเข้าออกเท่านั้น โดยที่การอนุมัติดังกล่าวไม่ได้เป็นการยกที่ดินให้เป็นสาธารณะแต่อย่างใด ทางผ่านยังคงเป็นทรัพย์สินของ รฟม. ทุกประการ แต่ผู้ขออนุญาตจะนำไปยื่นขอใบอนุยาตก่อสร้างอาคารตึกสูงกับหน่วยงาน กทม. หรือหน่วยงานอื่นอย่างไรนั้น ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละหน่วยงาน รฟม. ไม่ได้เข้าไปดูตรงนั้น
“เท่าที่ทราบ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 พ.ศ.2543 ที่กำหนดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารขนาดใหญ่พิเศษตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) จะต้องมีด้านใดด้านหนึ่งยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร” นั้น ไม่ได้กำหนดว่าที่ดินที่มีขนาดความกว้าง 12 เมตรที่ว่าจะนำมาขอใบอนุญาตนั้นต้องเป็นที่สาธารณะ หรือเป็นที่ดินเอกชน จะเป็นที่ดินของใครก็ตามขอให้เจ้าของที่ดินอนุญาตให้ผ่านทางได้ โดยไม่ส่งผลกระทบหรือสร้างอันตรายอะไรก็อยู่ในข่ายที่ขออนุญาตได้ ซึ่งทุกโครงการที่มาขอผ่านทางเข้าออก ก็ล้วนต้องการนำไปขออนุมัติพัฒนาโครงการ หรือก่อสร้างตึกสูงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับภารกิจของ รฟม.อยู่แล้วที่จต้องการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรายรอบสถานีรถไฟฟ้า เพื่อป้อนผู้โดยสารผู้ใช้บริการให้แก่โครงการลดการใช้รถยนต์ส่วนตนแก้ไขปัญหาจราจร และการดำเนินการดังกล่าวนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับ พรบ.เวนคืนที่ดินของ รฟม.และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด จนถึงขนาดที่รัฐบาลได้ออกประกาศให้โบนัสพิเศษแก่โครงการที่ตั้งอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า อย่างได้สิทธิ์ FAR มากขึ้น หรือมี Bonus พิเศษในการพัฒนาโครงการ เป็นต้น”
หมายเหตุ:อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง..
-เนตรทิพย์:Hot Issue
"แอชตัน อโศก" ช็อก! ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
http://www.natethip.com/news.php?id=7056
-เนตรทิพย์:Hot Issue
แอชตันอโศก"... แค่จุดเริ่มต้นมหากาพย์
http://www.natethip.com/news.php?id=7063
-เนตรทิพย์:Special Report
ย้อนรอยดูทางเข้า-ออกคอนโดหรู Noble-แสนสิริ-MQDC ความเหมือน และความแตกต่าง!
http://www.natethip.com/news.php?id=7065