ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์ รายงานเอกสารเผยแพร่ศูนย์วิจัยกสิกรระบุถึงการคาดการณ์ผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลัง จะไม่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตในปี 2562 แต่ยังเป็นโจทย์ท้าทายของรัฐบาลในการบริหารจัดการ โดยประเด็นสำคัญดังนี้
จากสถานการณ์โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) ที่ได้ระบาดและเริ่มตรวจพบเป็นครั้งแรกในประเทศไทยราวเดือนสิงหาคม 2561 โดยได้มีการทำลายมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างไปแล้วรวม 1,237 ไร่ จนกระทั่งในปี 2562 ก็เริ่มมีสัญญาณการระบาดของโรคใบด่างอีกครั้งในแถบภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งได้มีการทำลายมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างไปแล้วราว 3,257 ไร่ (ณ 2 ก.ค. 2562) เนื่องจากมีรายงานว่ามีการระบาดในประเทศเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศไทยและถือว่าเป็นจุดที่พบการระบาดไม่ไกลจากไทยมากนัก จึงมีความเสี่ยงสูงที่โรคใบด่างมันสำปะหลังจะเข้ามาระบาดต่อเนื่องในประเทศไทยในระยะถัดไป และทำความเสียหายให้กับผลผลิตมันสำปะหลังของไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2562 การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง จะยังไม่สร้างความเสียหายให้กับภาพรวมผลผลิตมันสำปะหลัง เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดตามฤดูกาลน้อยอยู่แล้ว โดยคาดว่า ราคามันสำปะหลังในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 อาจทรงตัวระดับต่ำอยู่ในกรอบ 1.7-1.8 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับ 2.02 บาทต่อกิโลกรัมในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยคาดว่า ภาพรวมราคามันสำปะหลังทั้งปี 2562 จะยังให้ภาพที่ไม่สดใสนัก เฉลี่ยอยู่ที่ราว 1.9 บาทต่อกิโลกรัมหรือลดลงร้อยละ 20.1 (YoY) จากปัจจัยฉุดด้านความต้องการจากจีนที่ชะลอลงเป็นหลัก
ดังนั้น นับเป็นโจทย์ท้าทายของรัฐบาลในการจัดการแก้ปัญหาด้านผลผลิตของมันสำปะหลังในระยะสั้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคใบด่างอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเสียหายของผลผลิตมันสำปะหลังในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ผ่านมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ประสบปัญหาโรคใบด่าง เช่น การจ่ายเงินชดเชย รวมถึงการบริหารจัดการในด้านการตลาด ที่ควรเน้นไปที่การสร้างอุปสงค์ในประเทศให้เพิ่มขึ้น จนอาจกระทบต่อภาพรวมปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังในปี 2563 โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดกับประเทศกัมพูชา เช่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ และบางอำเภอในจังหวัดนครราชสีมา โดยอาจต้องอาศัยความต่อเนื่องของมาตรการด้านอุปทานที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ดังนี้
- มาตรการทำลายต้นมันสำปะหลังที่ติดโรคใบด่างทิ้ง เพื่อสกัดการลุกลามของโรค โดยจ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบในอัตราไร่ละ 3,000 บาท หรือกิโลกรัมละ 1 บาท คิดจากผลผลิตต่อไร่ที่ 3,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ประสบปัญหาโรคใบด่าง
- การควบคุมการนำเข้าท่อนพันธุ์ที่ด่านนำเข้าให้ต้องมีการตรวจสอบโรคพืชอย่างละเอียด โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดกับประเทศกัมพูชา 6 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด และโครงการสินเชื่อ เพื่อรวบรวมมันสำปะหลัง และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังปี 2562
สำหรับในด้านของอุปสงค์หรือด้านการตลาด ก็ควรดำเนินการควบคู่ไปกับด้านอุปทาน โดยควรต้องเน้นไปที่การสร้างอุปสงค์ในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดสัดส่วนการส่งออกโดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีแนวโน้มชะลอลง ด้วยการนำผลผลิตมันสำปะหลังมาแปรรูปเพื่อยกระดับสู่ผลิตภัณฑ์อาหารที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านความร่วมมือของทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน อันจะเป็นการสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการต่อยอดสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น ตามแนวทาง “เมืองนวัตกรรมอาหาร” หรือ Food Innopolis ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่รัฐบาลดำเนินอยู่และมีแนวโน้มการตอบรับที่ดีอย่างผลิตภัณฑ์สแน๊กจากมันสำปะหลังที่เป็น Product Champions คือ มันอบกรอบ และวาฟเฟิลกรอบ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการช่วยพยุงราคามันสำปะหลังไม่ให้ตกต่ำ และให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังมีรายได้เพิ่มขึ้น