ตะขิดตะขวงใจมาตั้งแต่เมื่อครั้ง "สำนักข่าว เนตรทิพย์ ออนไลน์" เปิดโปงและขุดคุ้ยโครงการ "ปาล์มอินโดฯ" ของกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่มอบหมายให้ บริษัท ปตท.กรีนเอ็นเนอร์จี้ จำกัด หรือ PTTGE เป็นหัวหอกเข้าไปลงทุนใน 5 แหล่งใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย วงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท
ด้วยหวังจะให้เป็นแหล่งรายได้ใหม่ทดแทนธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่นับวันจะสาละวันเตี้ยลง..
แต่จู่ๆ หลังการปรับเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ของ ปตท. ก็กลับปรับเปลี่ยนนโยบาย หันมาเทกระจาดขายทิ้งโครงการดังกล่าวแบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ ทั้งที่ได้ลงทุนไปกว่า 20,000 ล้าน ในระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะมีการตีฆ้องป่าวประกาศไปทั่วทุกสารทิศอ้างเป็นการลงทุนที่ผิดพลาด มีการทุจริตจัดซื้อที่ดิน ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย มีการเล่นแร่แปรธาตุซื้อที่ดินปลูกปาล์มสูงเกินจริง แถมบางพื้นที่ที่เข้าไปลงทุน ยังเป็นป่าสงวนหรือที่สาธารณะที่ไม่สามารถจะออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ ได้
ก่อนที่บริษัทแม่ ปตท. จะตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบโครงการนี้อย่างถึงพริกถึงขิงและถึงขั้นส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป.ป.ช. ล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบโครงการอื้อฉาวดังกล่าว
แต่....หลังจาก "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" ขุดคุ้ยเบื้องหน้า เบื้องหลัง "มหากาพย์ปาล์มอินโดฯ" ไปได้ไม่ทันไร บริษัท PTTGE ก็มอบหมายให้สำนักงานกฎหมาย เบเคอร์ แอนด์แม็คเค็นซี่ ยื่น "โนติส" ขอให้ระงับการขุดคุ้ยประเด็นปาล์มอินโดในทุกกรณี ด้วยอ้างว่า เป็นคดีความที่บริษัทมีการฟ้องร้องคาราคาซังอยู่ในขั้นศาลเพื่อเรียกค่าเสียหาย และศาลได้มีคำสั่งห้ามคู่ความเปิดเผยข้อมูลในทุกกรณี
ทั้งที่ การขุดคุ้ยของ "สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์" พุ่งเป้าไปที่กระบวนการตรวจสอบและทำหน้าที่ไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ตั้ง "คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีปาล์มอินโดฯ" ขึ้นมา 1 ชุด แต่ในชั้นการพิจารณาไต่สวน และรวบรวมพยานเอกสารประกอบสำนวนคดีนั้น กลับพบว่า มีความไม่ชอบมาพากล เพราะมุ่งไต่สวนแต่อดีตผู้บริหารพีทีทีจีอี คนหนึ่งว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการปาล์มอินโดฯ นี้
ทั้งที่จำเลยคนดังกล่าวนั้นมีนับสิบๆ คน และตัวผู้บริหารที่ถูกไต่สวนอยู่คนเดียวนั้น ก็ "ฮึดสู้" ถึงขั้นหอบแฟ้มออกมาเปิดโปงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขบวนการล้มโครงการปาล์มอินโดฯ ดังกล่าว แถมยังรุกหนักไปถึงขั้นเดินหน้าฟ้องร้อง ป.ป.ช. และอดีตผู้บริหาร และผู้บริหารพีทีทีจีอี อีกราวรูดต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอีกด้วย
วันนี้เราเริ่มเห็นความกระจ่าง เห็นความไม่ชอบมาพากลในการไต่สวนคดีปาล์มอินโดฯ ที่อยู่ในมือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีคำสั่งพักงานผู้บริหารระดับสูงใน ป.ป.ช. หลังจากตรวจสอบพบว่า มีการซุกซ่อนและปกปิดการยื่นบัญชีทรัพย์สินกว่า 260 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งเงินในบัญชีทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ล้วน โยงใยคดีสินบนโครงการปาล์มอินโดฯ โดยตรง
มิแต่เพียงเท่านั้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา อดีตประธานหอการค้าอินโดนีเซีย-ไทย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ Depok ของอินโดนีเซีย เพื่อให้ดำเนินคดีกับกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีปาล์มอินโด พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. อีกหลายๆ คน ที่มีส่วนพัวพันกับการให้สินบนต่อประจักษ์พยาน เพื่อสร้างหลักฐานอันเป็นเท็จ ในคดีปาล์มอินโดฯ อีกด้วย
ข้อกล่าวหาของอดีตประธานหอการค้าอินโดฯ-ไทย ต่อกรรมการ ป.ป.ช. และ เจ้าหน้าที่ ในอนุกรรมการไต่สวนในครั้งนี้ จะจริงเท็จแค่ไหนอย่างไรนั้น ไม่มีใครทราบได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่อินโดนีเซีย..
แต่การที่จู่ๆ อดีตประธานหอการค้าอินโดฯ-ไทย ออกมาเปิดโปงกรณีการจ่ายสินบน เพื่อให้มีการปรับต่ำ สำนวนในคดีปาล์มอินโดฯ ครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่!
แน่นอน เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นนั้นย่อมทำให้สังคมเกิดข้อกังขา เกิดอะไรขึ้นกับโครงการปาล์มอินโดฯ และการไต่สวนคดีปาล์มอินโดฯ ของอนุกรรมการไต่สวนเป็นไปอย่างโปร่ง ชอบธรรม เช่นที่เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันนั่งยันมาโดยตลอดหรือไม่?
เพราะประจักษ์พยานหลักฐาน อย่างน้อย 2 เรื่องที่ประดังออกมาในเวลานี้ ไม่ว่าจะกรณีการซุกซ่อนและปกปิด เงินและทรัพย์สินกว่า 260 ล้าน ของบิ๊ก ป.ป.ช. รวมทั้งกรณีที่ประจักษ์พยานในคดีปาล์มอินโดฯ ในต่างประเทศ ที่อนุกรรมการ ป.ป.ช.นำมาอ้างอิงที่ "แหกอก" ออกมาเปิดโปงว่า “มีการติดสินบนในชั้นไต่สวนหรือสอบสวน” นั้น
สิ่งเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าสำนวนการไต่สวนจะออกมาอย่างไร?
ก็คงยากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะอรรถาธิบาย และให้ความกระจ่างต่อสังคมได้ว่า ทุกอย่างเป็นไปอย่างโปร่งใสเป็นธรรมและตรวจสอบได้
ตรงกันข้ามสิ่งที่เกิดขึ้น กลับจะยิ่งทำให้สังคมเพิ่มความคลางแคลงใจต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวนฯ
รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอง คดีปาล์มอินโดฯ นี้ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าเนินนานมากกว่า 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีการร้องให้ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบคดีนั้น เป็นไปอย่างมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่?
หรือมีความพยายามจะ ”ปก -ปิด- แช่” เพื่อช่วยเหลือใครกันหรือไม่?