อาการผวาสัญญาณผิดปรกติ ผลตอบแทนที่ได้รับจากพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าระยะสั้น (Inverted Yield Curve) เกิดขึ้นอีกครั้งในตลาดหุ้นสหรัฐปีนี้ โดยช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ดาวโจนส์ลบไปกว่า 700 จุด หลังผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปีน้อยกว่าระยะสั้น 2 ปีเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี หรือตั้งแต่ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจซับไพร์ม ส่วนสัญญาณผิดปรกติครั้งแรกเกิดต้นปี เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรยาว 10 ปีเคยต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้นกว่า 1 ปีมาแล้วนักวิชาการยืนยันว่า ตามทฤษฎี อินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตามมา เช่น ออสเตรเลีย เมื่อดูสถิติย้อนหลัง ผลตอบแทนพันธบัตรหรือดอกเบี้ยระยะยาวที่กลับหัวกลับหางจ่ายน้อยกว่าระยะสั้น ไม่มีเหตุปัจจัยกับการถดถอยของเศรษฐกิจ แต่จากสถิติของสหรัฐ อินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟกลับมีความสัมพันธ์ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย (recession) ขยายตัวติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน รวมทั้งบางครั้งหากแก้ไขไม่ทัน อาจแย่ถึงขั้นเกิดเป็นวิกฤตใหญ่ตามมาเห็นได้จากที่บริษัท ฟินโนมีนาฯ รายงานข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด สาขาเซ็นต์หลุยส์ ซึ่งนำผลตอบแทนพันธบัตรสิบปี มาลบด้วยพันธบัตรสองปี ว่าเคยเกิดเหตุไม่ปรกติ ผลตอบแทนต่ำกว่า 0 มาแล้วหลายครั้ง และหลังจากนั้นอีก 1-3 ปีจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยตามมา เช่น ปีค.ศ.1976 (พ.ศ.2519) เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถัดจากนั้น 3 ปีเกิดรีเซสชั่น ปีค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถัดจากนั้น 1 ปีเกิดรีเซสชั่น ปีค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถัดจากนั้น 2 ปีเกิดวิกฤตดอตคอม และล่าสุดเกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ 2 ครั้ง ในปีค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) กับปีค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) ถัดจากนั้น 1 ปีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่วิกฤตซัพไพร์มฟินโนมีนาให้ความเห็นว่า การเกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถ้าจะเกิดรีเซสชั่นตามมา ต้องมีปัจจัยอื่นมากระทบด้วยถึงจะทำให้เกิดวิกฤติ..ส่วนใน ”ตลาดหุ้น” อาจเป็นเพราะเรียนตามกันมาว่า ตามทฤษฎีเมื่อมีสัญญาณอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถัดจากนั้นไม่กี่ปีจะเกิดวิกฤต ก็เลยทำให้ชิงขายหุ้นไปหาสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย เช่น พันธบัตรระยะยาว เพื่อล็อกรายได้ผลตอบแทนที่หากวิกฤติจริงไม่รู้จะยาวขนาดไหนและผลตบแทนน่าจะต่ำกว่า ด้านสถิติปีที่เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงจะมีทั้งบวกและลบ แต่ส่วนมากจะบวกสูงก่อนถึงปีที่เกิดวิกฤตนายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้ความเห็นว่า การเกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟ ถ้ามีอีก 3 ปัจจัยลบผสมมาด้วย จะทำให้มีโอกาสเกิดวิกฤตแน่ คือ..1. การดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาดอย่างยาวนาน จนเกิดการเสียสมดุล เช่นการอัดฉีดเงินด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือคิวอีของประเทศใหญ่อย่างสหรัฐ กลุ่มยูโรโซน ญี่ปุ่น โดยเฉพาะสหรัฐที่ปรกติไม่เคยโตติดต่อกันยาวเป็นสิบปี แต่ปัจจุบันการอัดฉีดดันให้โตมากว่าสิบปีแล้ว ทำให้ฟองสบู่ยิ่งขยายเกินตัว 2. การปรับโหมดของเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนไม่ทัน เช่นการเปลี่ยนจากเทคโนโลยี 2จีไป 3จีช่วงเกิดวิกฤติดอตคอม เปลี่ยนจาก 3จี ไปใช้ 4จี ช่วงเกิดวิกฤตซัพไพร์ม และ 3. เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่นช่วงวิกฤตดอตคอมก็เกิดเหตุการณ์ไนน์วันวันบนความเห็นต่างของการตีความสัญญาณอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟดังกล่าว นักวิชาการยังคงเชื่อว่า “อินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟไม่มีผลต่อการเกิดรีเซสชั่นหรือขยายเป็นวิกฤตใหญ่”แต่ในแวดวงการเงินเชื่อว่า อาจจะมีบางกลุ่มที่รู้ข้อมูลเชิงลึกอินไซด์สุดๆ รู้ว่ากำลังจะเกิดวิกฤต จึงย้ายการลงทุนไปอยู่สินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรระยะยาว เพื่อล็อกผลตอบแทน ประเด็นนี้จึงทำให้เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟเป็นสัญญาณขึ้นมา รวมทั้งผลจากที่เรียน ”ตำราเดียวกัน” มาว่า “เกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟแล้วจะเกิดรีเซสชั่นตามมา”..ท่ามกลางความเห็นต่างดังกล่าว เมื่อพิจารณาให้ดี จะพบแนวโน้มร่วมที่เห็นตรงกันอยู่เรื่องหนึ่งคือ เมื่อเกิดอินเวอร์เต็ดยิลเคิร์ฟแล้ว ในปีนั้นส่วนใหญ่ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงสูงจะออกมาดี และก่อนจะเกิดรีเซสชั่นหรือรุนแรงถึงขั้นวิกฤต ยังมีเวลาอีก 1-2 ปี ให้สร้างรายได้ตามความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ ตามหลัก High Rich High Return!!!โดย คนฝั่งธนฯ