
อ่านถ้อยแถลงของ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี อธิบดีกรมที่ดิน รวมทั้งนายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อดีตอธิบดีกรมที่ดิน เมื่อ 17 กันยายน 2568 ต่อกรณีการดำเนินการเพิกกถอนที่ดิน "เขากระโดง" จังหวัดบุรีรัมย์ ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการะทรวงมหาดไทยก่อนหน้า
โดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ยืนยันที่จะไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงและสั่งยุติการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว จนกว่าจะมีคำสั่งคำพิพากษาของศาลปกครองจากที่การรถไฟแห่งปนะเทศไทย (รฟท.) ได้ไปดำเนินการยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน และกรมที่ดินที่ไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงก่อนหน้า

โดยผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า ที่ผ่านมา กรมที่ดินได้ดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา และและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ครบถ้วนแล้ว ประกอบด้วย
1.1 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 – 876/2560 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของราษฎร จำนวน 35 ราย ที่ฟ้องคดี พร้อมทั้งจำหน่าย ส.ค. ๑ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดินแล้ว
1.2 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งให้แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ใน น.ส. ๓ ข. เลขที่ 200 หมู่ที่ 9 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ (บางส่วน) ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว
1.3 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ลงวันที่ 22 เมษายน 2563 สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ รวม 3 ฉบับ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว
2. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการกับที่ดินแปลงอื่นจำนวน 995 แปลง ที่อยู่ในบริเวณที่การรถไฟฯ อ้างสิทธิ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริง "ยังไม่ชัดเจนเป็นที่ยุติ" ว่า ที่ดินเป็นของการรถไฟฯ และการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่เขากระโดงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงมีความเห็นไม่สมควรเพิกถอนโฉนดที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินจึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง
ก่อนที่ การรถไฟฯ จะอุทธรณ์คำสั่งยุติเรื่องดังกล่าว ซึ่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งยุติเรื่องของอธิบดีกรมที่ดินชอบด้วยกฎหมาย จึงยกอุทธรณ์ของการรถไฟฯ
3. เนื่องจากคำสั่งให้ยุติเรื่องตามข้อ 2 การรถไฟฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้เรียกอธิบดีกรมที่ดินมาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่ออธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ จึงเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางแล้ว ส่วนการรังวัดหาแนวเขตที่ดินของการรถไฟฯ เป็นเพียงข้อแนะนำของศาล ซึ่งกรมที่ดินก็ได้ดำเนินการแล้วเช่นกัน แต่หากการรถไฟฯ เห็นว่าอธิบดีกรมที่ดินดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา การรถไฟฯ ก็ชอบที่จะยื่นเป็นคำร้องต่อศาลปกครองชั้นต้นที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีพิจารณามีคำสั่งหรือไต่สวนได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงยกคำร้องของการรถไฟฯ
4. การรถไฟฯ จึงได้ฟ้องกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินและปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งยุติเรื่องและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งขณะนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและอยู่ระหว่างกรมที่ดินทำคำให้การต่อสู้คดี ภายในกำหนดกลางเดือนตุลาคม 2568 นี้
5. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินกรณียุติเรื่อง ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบฯ เห็นว่า อธิบดีกรมที่ดินยังดำเนินการไม่ครบถ้วนก่อนการมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง จึงเห็นควรให้อธิบดีกรมที่ดินทบทวนคำสั่งยุติเรื่องดังกล่าว

ขณะที่ นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและอดีตอธิบดีกรมที่ดิน ที่เป็นผู้สั่งการให้ยุติการดำเนินการสอบสวนและเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ก็ยืนยันว่า หากอ่านในคำสั่งศาลทั้ง 2 ศาล จริงๆ แล้วศาลพูดแค่แปลงที่เป็นโจทย์กัน แต่ไม่ได้ชี้ว่าที่ดิน 5,083 ไร่ที่ประชาชน 995 แปลงอาศัยอยู่นั้น จำเป็นต้องเพิกถอนด้วย จึงยืนยันว่า ที่ผ่านมากรมที่ดินได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว ทั้งตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 คำพิพากษาศาลปกครองกลางประกอบกับปัจจุบันการรถไฟก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งหลังจากนี้คำวินิจฉัยของศาลจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวจึงไม่อาจก้าวล่วงได้
"อีกหนึ่งกระบวนการที่จะสามารถ ดำเนินการคู่ขนานไปได้คือทางการรถไฟฯ ไปดำเนินการฟ้องร้องประชาชนทั้ง 995 แปลงต่อศาลยุติธรรมเองได้ แต่ต้องฟ้องเป็นรายแปลง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชี้แจง ขอบอกว่า การดำเนินงานตามมาตรา 61 ต้อง 100% เป๊ะๆ ว่าชาวบ้านบุกรุกจริงๆ จึงจะขับไล่ได้ ซึ่งที่ผ่านมา 100 กว่าปี ทางกรมฯ ไม่เคยทำ และกรมเองก็อาจจะได้รับผลกระทบจากการโดนฟ้องกลับ"
ส่วนกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อครั้งเข้ามาอำลาตำแหน่งกับกระทรวงมหาดไทยว่า ในเรื่องที่ดินเขากระโดง ตามมาตรา 61 วรรค 8 ของกฎหมายที่ดิน เป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดินที่จะสั่งการเพิกถอนให้เป็นที่ดินของหลวงได้เลยทันที และคาดว่าวันที่ 30 กันยายนนี้ น่าจะแล้วเสร็จนั้น นายอรรษิษฐ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในข้อสั่งการที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งให้กรมที่ดินดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายให้ชัดเจนนั้น กรมที่ดินก็ได้ไปตรวจสอบและสรุปออกมาแล้ว ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมายเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นว่ากระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

บทสรุป.. ของกรมที่ดิน "เขากระโดง" ที่กระทรวงมหาดไทยชี้แจงข้างต้น เท่ากับเป็นการยืนยัน นั่งยันว่า "ที่หลวงรถไฟ" ที่ "ในหลวงราชกาลที่ 5" ได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาเวนคืนเพื่อใช้ในกิจการรถไฟหลวง ตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืน พ.ศ.2564 ก่อนที่กรมที่ดินจะมีการตรา "ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497" ถึง 38 ปีนั้น กรมที่ดินไม่ขอ "รับรู้ /รับทราบ "การมีอยู่" ของ"ที่ดินหลวงรถไฟ" และพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินรถไฟดังกล่าว
เพราะในช่วงที่กรมดินออกประกาศให้มีการจดแจ้งการถือครองที่ดินทั่วประเทศ รวมทั้งในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทำการรางวัดออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ไม่ปรากฏว่าการรถไฟ ได้มีการจดแจ้ง การ "มีอยู่" ของที่ดินหลวงรถไฟบริเวณ "เขากระโดง" ที่ว่านี้ และไม่ได้นำเอกสารหลักฐาน ระวางแผนที่แนบท้ายมา "ขึ้นทะเบียนจดแจ้ง" ยังสำนักงาน่ดินบุรีรัมย์ หรือกรมที่ดินแต่อย่างใด
เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินบุรีรัมย์ และกรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์บริเวณเขากระโดงไปหมดแล้ว จึงเป็นการดำเนินการ "ชอบด้วยกฎหมาย" การที่รถไฟฯ (ร.ฟ.ท.) ลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวท้วงติงการออกเอกสารสิทธิ์ "ทับที่รถไฟ" จึงเป็นกรณีที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่กรมที่ดินได้ดำเนินการไปหมดแล้ว
กรมที่ดินไม่มีอำนาจหน้าที่ ที่จะไปแสวงหาข้อเท็จริงใดอื่น หรือค้นหา "เอกสารตั้งต้น" อะไรที่ว่า แม้แต่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่มีการดำเนินการกันอย่าวงลวกๆ ทำกันพอเป็นพิธีก่อนจะมุบมิบ สั่งยุติการดำเนินการสอบสวน ด้วยข้ออ้างหากแม้นการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถจะนำเอกสาร หลักฐานระวางแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาและพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินรถไฟหลวงมาแสดงต่อกรมที่ดินให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ก็เป็นเรื่องที่การรถไฟฯเองจะต้องไปดำเนินการฟ้องร้องผู้ครอบครองที่ดินรถไฟเป็นรายแปลงไป
แม้ต้องใช้เวลากันเป็น 10 เป็น 100 ปี ก็ไม่เกี่ยวกับกรมที่ดินใดๆ ทั้งสิ้น!
สำหรับประชาชนคนไทย สิ่งที่น่าเศร้าใจเป็นที่สุดต่อการได้รับรู้ว่า ที่หลวงรถไฟที่ "พ่อหลวงรัชกาลที่ 5" ได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาเวนคืน เพื่อใช้ในกิจการรถไฟ เพื่อสร้างความเจริญในการคมนาคมขนส่งให้แก่ปวงประชาราษฎรในอดีต
วันนี้ได้ถูกกลุ่มคนไม่กี่คนร่วมกันบุกยึดครอบครอง แถมเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นหน่วยงานดูแลโดยตรงยังช่วยกัน "ฟอกขาว" ที่หลวงรถไฟเหล่านั้น ให้กลายเป็น "สมบัติส่วนตัว" ของใครบางคนไปหมดแล้ว

ที่น่าเศร้าและ "อดสู" ยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ ทั้ง "ข้าราชการศาล" และ "ข้าราชการ" ที่ได้ชื่อว่า เป็น "ข้าราชการ" หรือ "ข้าราชบริพาน" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ล้วนเป็นลูกหลาน "พ่อหลวงรัชกาลที่ 5" แต่กลับมีพฤติกรรม "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" สมคบคิดกับพ่อค้า นักธุรกิจและนักการเมืองทำการ "เบียดบัง" เอา "ที่หลวงรถไฟ" เหล่านั้นไปเป็น "สมบัติส่วนตัว" กันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่กริ่งเกรง และไม่เห็นแก่ความเป็น "ข้าราชการ" ที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีแต่อย่างใด
จะให้ "พระองค์ท่าน" ลดตัวลงมาทวงสมบัติของแผ่นดินด้วยพระองค์เองจากพสกนิกรของพระองค์ท่านด้วยพระองค์เองได้หรือ ด้วยพระบารมีเหนือเกล้าฯ ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย พระองค์ท่านจะทำเช่นนั้นได้หรือ?
เหตุใดพวกท่านจึงไม่มีความ "สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ" ที่ได้ทรงชุบเลี้ยง แต่งตั้งให้มีอำนาจหน้าที่การงานอยู่เหนือผู้อื่นอย่างที่เป็นอยู่

