
บอกตามตรงเป็นใครก็คง "เหลืออด" กับความพยายามยั่วยุแบบ "กวนส้นทีน..." ไม่ลืมหูลืมตาของชาว "กัมปูเจีย"หรือชาวเขมรที่กระทำกับไทยเรา ทั้งที่ประเทศไทยเคยให้ที่พักพิง เคยเกื้อหนุนจุนเจือในยามช่วงเขมรที่ต้อง "หนีตาย" จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อ 40 ปีก่อน
….
แต่พอเริ่มแข็งแรงลืมตาอ้าปากได้ กลับหันมา "แว้งกัด" ไทยเราซะได้ แถมยังไปตีฆ้องร้องป่าวบิดเบือนว่า ไทยเราเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนอาณาเขตกัมปูเจียซะงั้น ทำเอาประชาชนคนไทยถึงกับ "เหลืออด" อยากจะลุกขึ้นมาบ้องแก้วหู ยุส่งให้ทหารไทยทิ้งบอมบ์ซะไม่ให้เหลือซาก
หลายคนได้แต่ Bully เหตุใดชาวเขมรถึงได้ "โง่ดักดาน" ปล่อยให้ผู้นำตระกูลฮุน 2 พ่อ-ลูกจูงจมูกแบบไม่ลืมหูลืมตาได้ ประเภทชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จะส่งไปรบ ไปป่วนแนวชายแดนไทยอย่างไรก็ไม่หือไม่อือ ยอมไปหมด จนพี่ไทยอยากจะบอมบ์กรุงพนมเปญซะให้รู้แล้วรู้รอด
อย่างไรก็ตาม หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนดูประวัติศาสตร์ชนชาติกัมปูเจีย ก่อนปี 2513 นั้น กล่าวได้ว่าบ้านเมืองเขามีความเจริญมีความศิวิไลซ์เหนือกว่าไทยเราเสียอีก วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ระบบการศึกษา อารยธรรมต่างๆ ของเขมรนั้นได้รับการถ่ายทอดและอุ้มชูจากฝรั่งเศสเกือบทั้งหมด
ระบบการศึกษาแบบ Bilinqual สถาบันการศึกษาชั้นนำในกรุงพนมเปญและเมืองใหญ่ๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนมาจากฝรั่งเศสแทบทั้งสิ้น
แต่หลังจากกัมพูชาต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองมานับแต่ปี 2513 เป็นต้นมา จากการลุกขึ้นมายึดอำนาจโค่นล้มระบอบกษัตริย์ของพลโท ลอน นอล พร้อมกับสถาปนา "สาธารณรัฐกัมพูเจีย" ขึ้นมาแทนระบอบกษัตริย์ของเจ้านโรดมสีหนุ (ที่ประเทศไทยเราสถาปนาให้ตั้งแต่สมัย ร.4)

สงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพรัฐบาลแห่งชาติของนายพล ลอน นอล ที่มีสหรัฐฯ หนุนหลัง กับกลุ่มกบฏคอมมิวนิสต์ ที่มีจีนและพรรคคอมมิวนิสต์เวียดกงหนุนหลังก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2516 หลังกรุงไซง่อนแตก กองกำลังประชาชนเวียดนามและแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติได้กรีฑาทัพเข้ายึดครองกรุงไซง่อนได้ ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ต้องถอนกำลังออกจากภูมิภาคนี้ รวมทั้งจากกัมพูชา รัฐบาลทหารของนายพล ลอน นอล ต้องถูกโดดเดี่ยวต่อสู้กับกบฏคอมมิวนิสต์เพียงลำพัง
กระทั่งในเดือนเมษายน 2518 กองทัพเขมรแดง นำโดยพล พต และ เฮง สัมริน ที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้รุกเข้ายึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ ขับไล่รัฐบาลทหารของพล พต ได้สำเร็จ ท่ามกลางความคาดหวังของชาวกัมปูเจียในเวลานั้นว่า ประเทศคงจะได้รับการปลดปล่อยจากการกดขี่ข่มเหงแล้ว
ที่ไหนได้หลังกองทัพเขมรแดงจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมา และดำเนินการจัดระเบียบสังคมกัมพูชาใหม่ตามแนวทางระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เต็มขั้น ส่งผลให้เกิดการสังหารหมู่ผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นนำ ผู้มีการศึกษา ข้าราชการ นักปราชญ์ แม้แต่ครูอาจารย์ หรือดารานักร้องนักดนตรี ก็ไม่เว้นล้วนถูกส่งตัวไปยัง “ทุ่งสังหาร” Killing Field และ "คุกตวลแสลง" อันเลื่องชื่อ

ตลอดห้วงระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาลเขมรแดง (พ.ศ. 2518-2522) นั้น มีชาวกัมพูชานับล้านคนถูกสังหาร หรือเสียชีวิตจากความหิวโหย และโรคภัยไข้เจ็บรวมกว่า 2 ล้านชีวิต ประชากรที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ราว 7 ล้านคนนั้น แทบจะกล่าวได้ว่า เป็นชนชั้นกรรมกรที่ไร้การศึกษา ไม่มีวิชาความรู้ใดๆ เลยก็ว่าได้ ระบบการศึกษาถูกยกเลิกและทำลายไปทั้งหมด เหลือแต่ "ระบบคอมมูน" ที่เน้นการแบ่งปันและการยังชีพเท่านั้น
#ฮุนเซน กับการกอบกู้ชาติกัมปูเจีย
หลังจาก "ฮุน เซน" นายทหารหนุ่มยศ "ร้อยเอก" แยกตัวออกมาจากกองทัพเขมรแดงในปี 2520 โดยแปรพักตร์ไปร่วมกับรัฐบาลเวียดนามจัดตั้งกองกำลังกู้ชาติเพื่อต่อต้านรัฐบาลพล พต ขึ้นในนาม "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา" และร่วมมือกับกองทัพอาสาสมัครเวียดนาม เพื่อเข้ามาปลดปล่อยกัมพูชาจากกองทัพเขมรแดงได้สำเร็จในปี 2522 พร้อมจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่เป็น "ร่างทรง" ของเวียดนามขึ้นบริหารประเทศ

"ฮุน เซน" ที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอยู่ด้วย ก่อนที่ในอีก 3 ปีต่อมา (พ.ศ.2525) ฮุนเซนได้เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก่อนจะผงาดขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในปี พ.ศ.2528 ด้วยวัยเพียง 33 ปี
และถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "4 ทศวรรษแห่งอำนาจ" ของฮุน เซน ที่ไม่เคยมีใครเทียบได้กระทั่งปัจจุบัน
การที่ "ฮุน เซน" คือผู้นำกองกำลังทหารที่เข้ามาปลดปล่อยกัมพูชา ให้พ้นการกดขี่จากรัฐบาลกองทัพเขมรแดงได้ จึงไม่แปลกใจที่ว่า เหตุใดชาวกัมปูเจียจะให้การยอมรับนับถือ "ฮุนเซน" ที่ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน" ผู้นี้ เป็นยิ่งกว่ากษัตริย์ของกัมปูเจีย เพราะนี่คือ..ปูชนียบุคคลผู้กอบกู้เอกราชของชาติให้พ้นจากกองทัพเขมรแดง รัฐบาลเผด็จการที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม แม้ "ฮุน เซน" จะเป็นผู้กอบกู้เอกราชของกัมปูเจียกลับมา และเขาสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลนำพาประเทศไปสู่ระบบสาธารณรัฐ ที่อดีตนายพล ลอน นอล วางเอาไว้อย่างไรก็ย่อมทำได้ แต่ "ฮุน เซน" กลับเลือกที่จะฟื้นฟูการปกครองในระบบประชาธิปไตยที่มีระบบกษัตริย์เป็นประมุข โดยเขาได้เชิญสมเด็จพระนโรดมสีหนุที่ในเวลานั้นถูกเนรเทศไปอยู่ฝรั่งเศส กลับมาปกครองประเทศในฐานะกษัตริย์กัมพูชาต่อไป
จึงไม่แปลกที่ว่า เหตุใดกษัตริย์ของกัมพูชาถึงได้ให้เกียรติและให้ความเคารพสมเด็จฮุนเซนมากมาย เพราะ "สมเด็จฮุนเซน" นั้นคือผู้กอบกู้เอกราช กอบกู้ชาติกัมปูเจียนั่นเอง

#ระบบการศึกษาที่เริ่มจาก 0
ตลอดช่วงสงครามกลางเมือง 5 ปี นับตั้งแต่นายพล ลอน นอล ปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์และสถาปนาสาธารณรัฐกัมพูชาขึ้นมาในช่วงปี 2513-2518
ก่อนที่กองทัพปลดปล่อยเขมรแดงที่มี นายพล พต และเฮง สัมริน จะเข้ามายึดครองกัมปูเจีย สถาปนารัฐบาลระบอบคอมมิวนิสต์เต็มขั้นต่อเนื่องไปอีก 4 ปี จนถึงปี พ.ศ.2522 ที่กินระยะเวลากว่า 7 ปีนั้น กล่าวได้ว่า การที่ชาวกัมปูเจียต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จนทำให้บรรดาชนชั้นที่มีอันจะกิน ผู้มีการศึกษา มีวิชาความรู้ทั้งหลายถูกขจัดจนสิ้นซากไปกว่า 2 ล้านคนนั้น
ระบบการศึกษาของกัมปูเจียที่เหลืออยู่แทบจะเป็นศูนย์ (0) เลยก็ว่าได้ โรงเรียน สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ถูกทำลายจนย่อยยับ บุคคลากรทางการศึกษาภายหลังจากที่ฮุนเซนขึ้นมาปกครองประเทศต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ โดยการดึงคนกัมพูชาที่หนีภัยสงคราม หรืออพยพไปอยู่ต่างประเทศกลับเข้ามาช่วยฟื้นฟูประเทศ

แต่กระนั้นระบบการศึกษาของกัมพูชาวันนี้ก็ยังคงล้าหลัง และกล่าวได้ว่ายังถอยหลังกลับไป 20-30 ปี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและเวียดนาม จึงทำให้ชาวเขมรที่เกิดในช่วงหลังปี 2520-2530 หรือ 2540 กลายเป็นกลุ่มคนที่ด้อยการศึกษามากที่สุด
เพราะระบบการศึกษาของกัมปูเจียได้ถูกทำลายย่อยยับลงไปก่อนหน้า และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงล้าหลังกว่าเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน เราจึงได้เห็นภาพที่เต็มไปด้วยข้อกังขาที่ว่า
เหตุใดชาวเขมรจึงถูกปลูกฝัง และเชื่อฟังผู้นำสองพ่อ-ลูกเหนือสิ่งอื่นใด และเหตุใดจึงไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้านสองพ่อลูกที่ว่านี้ แต่กลับให้ความเคารพเทิดทูนเสียยิ่งกว่ากษัตริย์ของกัมพูชาเสียอีก!!!
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การที่ลูกหลานชาวกัมปูเจียเหล่านี้มีโอกาสได้ข้ามมาเรียนยังโรงเรียนในฝั่งไทย แม้จะเป็นเพียงโรงเรียนชุมชนหรือโรงเรียนชั้นประถมศึกษาในต่างจังหวัดของไทย แต่มันคือ "สวรรค์ของการศึกษา" ที่หาได้ยากยิ่งในกัมปูเจียจริงๆ
แก่งหิน เพิง