
เหตุใดจึงไม่มองอีกด้าน หากยกเลิก MOU43-44 ไปแล้ว ยังจะมี "กลไกเจรจาใดหลงเหลือ" อยู่อีก!
ยังคิดว่าจะมี JBC - CBC อยู่อีกหรือ?
ในเมื่อกลไกดังกล่าวเกิดขึ้นจาก MOU
ก่อนหน้านี้ แม้ไทย-กัมปูเจีย จะมีคณะทำงานร่วม แต่ก็เป็นกลไกการเจรจาที่เกิดขึ้นจากนโยบายรัฐบาล "น้าชาติ-พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" ที่ "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ยุติปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดน เลิกพูดถึงหลักเขตแดน แล้วหันหน้ามาเจรจาการค้า การลงทุนระหว่างกันต่างหาก

จนนำมาซึ่งการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อกรุยทางไปสู่การเจรจาปักปันเขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ ก่อนมีการลงนามในความตกลงร่วม MOU43 และ MOU44
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ "ตรงข้าม" กับ "จุดยืน" ของคนไทย "คลั่งชาติ" ในวันนี้โดยสิ้นเชิง!
การปลุกเร้าผู้คนให้ "เปลี่ยนสนามการค้า" กลับมาเป็น "สนามรบ" เพื่อหวังให้รัฐบาลและฝ่ายทหาร "รบแตกหัก" สั่งสอนกัมปูเจีย ไม่ให้เผยอขึ้นมาต่อกรกับไทยได้อีก
ดั่งที่ผู้นำทางทหารบางคนใช้คำว่า "สิ้นสภาพทางการทหาร" นั้น
แล้วยังจะไปคาดหวังว่า จะยังมีกลไกเจรจาแบบทวิภาคี อย่าง JBC-CBC ได้อย่างไร?

มันจะมีกลไกเจรจาขึ้นมาได้ก็มีแต่ภายใต้ "เงื้อมมือ" และเงื่อนไขที่ชาติมหาอำนาจเท่านั้นเป็น "ผู้บงการ" จริงไม่จริง!!!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างกลับไปนับ 1 ใหม่ในการแบ่งปันเขตแดน ตามสนธิสัญญา "สยาม-ฝรั่งเศส" ปี 1904 (พ.ศ.2447) และ สนธิสัญญา ปี 1907 (พ.ศ.2450)
เรายังจะคาดหวังว่า เขมรต้อง "ยอมรับ" แผนที่ 1:50,000 ของไทย ไม่ใช่แผนที่ 1:200,000 ที่เขมรเสนอ หรือแผนที่ 1:100,000 ตามรัฐธรรมนูญกัมพูชากันอีกหรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร และด้วยวิธีการใดกันหรือ?

ท่าน "อาจารย์ปานเทพ" ที่เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้และปลุกเร้าให้ผู้คนเชื่อสนิทว่านี่คือ "เข็มทิศและทิศทาง" ที่ประเทศไทยต้องเดินไป
เมื่อท่านเป็นคนก่อ เป็นคนจุดไฟนี้ท่านนั่นแหล่ะจะต้องเป็นคนตอบคำถามนี้!
แก่งหิน เพิง