
จากกรณี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ได้ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทต่อมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) และ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิฯ จากการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของปลาหมอคางดำที่เชื่อมโยงกับฟาร์มยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม ระหว่างการประชุมวิชาการเพื่อแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ พร้อมทีมทนายความจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) และทนายสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเข้าร่วมการนัดคุ้มครองสิทธิ์และสอบคำให้การจำเลยในคดีปลาหมอคางดำจำนวน 2 คดี โดยวิฑูรย์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่า การใช้สิทธิ์และการแสดงความคิดเห็นเป็นการกระทำโดยสุจริต

ด้าน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้เสียหาย ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม และเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาท รวมสองคดีเป็นเงินทั้งสิ้น 200 ล้านบาท ศาลกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีในส่วนแพ่งภายในวันนัดหน้า คือวันที่ 1 ธันวาคม 2568
ทั้งนี้ระหว่างกระบวนการ ศาลได้สอบถามถึงความเป็นไปได้ในการไกล่เกลี่ย แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากโจทก์ยืนยันว่าข้อความที่จำเลยเผยแพร่เป็นเท็จ ขณะที่ฝ่ายจำเลยยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงและเข้าข่ายได้รับการยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ว่าด้วยการใช้สิทธิ์โดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ทั้งนี้ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ยืนยันว่า จะต่อสู้คดีจนถึงที่สุด โดยชี้ว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวมูลนิธิไบโอไทย แต่คือ ชีวิตของชาวบ้าน ระบบนิเวศ ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ทั้งยังยกกรณีเกษตรกรที่ตำบลแพรกหนามแดง ซึ่งเสียชีวิตจากผลกระทบของปัญหานี้

วิฑูรย์ ระบุต่อว่าคดีนี้ได้รับการระบุโดยสมาคมสิทธิมนุษยชน ทนายความสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรม และองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็น “คดีฟ้องปิดปาก” (SLAPP) ซึ่งฝ่ายจำเลยมองว่าเป็นการชะลอการแสวงหาความจริงและขัดขวางการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
หลักฐานที่ใช้ในการสัมมนาวิชาการเมื่อ 26 กรกฎาคม ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการระบาดของปลาหมอคางดำกับฟาร์มยี่สาร และในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีหลักฐานเพิ่มเติมจากหน่วยงานราชการและกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในการต่อสู้คดีนี้และคดีอื่น ๆ ด้วย
ฝ่ายจำเลยระบุว่า การเรียกร้องของชาวบ้านไม่ใช่การขอความสงสาร แต่เป็นการเรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบชดเชยความเสียหาย เนื่องจากปลาหมอคางดำไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ถูกนำเข้ามาโดยบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2553 และเริ่มพบการระบาดตั้งแต่ปี 2554

นอกจากนี้ มีการเปรียบเทียบกับกรณีเรือบรรทุกน้ำตาลล่มในปี 2554 ซึ่งหน่วยงานรัฐได้จ่ายเงินชดเชยแก่ประชาชนก่อนประมาณ 39 ล้านบาท หรือเกือบสองในสามของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด และจึงไปเรียกคืนจากภาคเอกชนตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งสะท้อนว่ารัฐสามารถดำเนินการเยียวยาได้ล่วงหน้า
รวมถึงยังมีคดีที่ประชาชนผู้เสียหายฟ้องร้องผ่านสภาทนายความ โดยศาลมีคำสั่งรับเป็นคดีกลุ่ม ซึ่งฝ่ายจำเลยเชื่อว่าถึงแม้คดีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทขนาดใหญ่จะดำเนินไปอย่างล่าช้า แต่ความคืบหน้าของคดีชาวบ้าน รวมถึงท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ยืนยันว่ารัฐมีสิทธิ์ฟ้องบริษัทเอกชน จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้