
น่าจะเรียกได้ว่า เป็นผลงานชิ้น"โบแดง"ในรอบปีของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนารมแห่งชาติ(กสทช.)เลยก็ว่าได้ ที่ทำให้ประชาชนคนไทยพอจะนึกออกว่ายังมี "ตัวตน"อยู่
…
กับเรื่องที่ กสทช. เตรียมเสนอโครงการ "เน็ตคนละครึ่ง" ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 14 ล้านคนทั่วประเทศ ในอัตราค่าบริการเพียง 160 บาทต่อเดือน สำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 40 GB ต่อเดือน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 รอบบิล หรือ 3 เดือน
โดย น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายละเอียดว่า โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม ทั้งในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพ และการใช้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนสังคมสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ซึ่งเมื่อผ่านการอนุมัติแล้ว จะเปิดให้ประชาชนที่มีสิทธิลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ภายในปี 2568 นี้

ทั้งนี้ กสทช. จะหารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกราย เพื่อจัดทำแพ็กเกจพิเศษภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด โดยยืนยันว่าจะควบคุมคุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ตให้ใช้งานได้จริง ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นการเสนอให้ที่ประชุม ครม. รับทราบเท่านั้น เพราะการดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นอำนาจของ กสทช. อยู่แล้ว และก็ใช้งบจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) หรือ กองทุน USO ของ กสทช. เองนั่นแหล่ะ ไม่ได้ใช้งบประมาณจากรัฐแต่อย่างใด เข้าใจว่าคงอยากโชว์ผลงาน "ชิ้นโบแดง" ให้รัฐบาลได้เห็นว่า กสทช. เอง ก็มีโครงการที่สามารถจะร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมนโยบายรัฐได้เท่านั้น

พูดถึงโครงการเน็ตคนละครึ่งของ กสทช. แล้ว เลยทำให้นึกเลยไปถึง "โครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ" หรือ โครงการ USO NET (Zone C+) จำนวน 3,920 หมู่บ้าน วงเงินดำเนินการกว่า 13,614.62 ล้าน ที่สำนักงาน กสทช. ทำสัญญาว่าจ้าง บมจ.เอ็นที (NT) หรือ "ทีโอที" ในอดีต เมื่อปลายปี 2560 หรือเมื่อ 7-8 ปีก่อน
โดยทีโอทีนั้น ชนะประมูลไป 3 สัญญา (จาก 10 สัญญา) รวมวงเงิน 6,486 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญานั้นทีโอทีจะต้องดำเนินการติดตั้งจุดให้บริการไวไฟฟรี 1,706 หมู่บ้าน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน (USO Net) อีก 391 แห่ง และติดตั้งสัญญาณมือถืออีก 591 หมู่บ้าน และต้องทยอยส่งมอบงานให้ กสทช. เฟสแรก ภายใน 6 เดือน ตั้งแต่เดือน มี.ค.2561 และกำหนดส่งมอบทั้งหมดภายใน 1 ปี คือ 27 กันยายน 2561

แต่ไม่รู้ทีโอทีไปจัดสร้างหรือดำเนินการอิท่าไหน จึงทำให้นอกจากจะไม่สามารถส่งมอบงานตามสัญญาได้ แม้จะขยายสัญญาให้ไปอีกปีถึงกันยายน 2562 แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่า ทีโอทีจะดำเนินการได้ ในส่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อส่งมอบก็ยังพบปัญหางานไม่ตรงสเปคตามเงื่อนไข TOR และหลายพื้นที่ผู้รับเหมาช่วงทิ้งงานไป
จนทำให้ เลขาธิการ กสทช. ในขณะนั้น คือ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ มีหนังสือลงวันที่ 12 มีนาคม 2562 ไปถึง นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น เพื่อแจ้งยกเลิกสัญญา และแจ้งค่าปรับเป็นวงเงินกว่า 1,100 ล้านบาท ทั้งยังถูกสำนักงาน ป.ป.ช. ล้วงลูกเข้ามาตรวจสอบการดำเนินโครงการด้วยอีก
โดย ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือถึงฝ่ายบริหาร บมจ.ทีโอที ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อขอเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการเข้ามาดำเนินโครงการนี้ อาทิ สัญญาจัดซื้อจ้างที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ทุกสัญญา หนังสือเรียกค่าปรับจาก กสทช. กรณีผิดสัญญาการดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งเอกสารการจ่ายค่าปรับ รวมไปถึงรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ผ่านมาวันนี้กว่า 5 ปีเข้าไปแล้ว วันวาน "สำนักข่าวอิศรา" รายงานว่า นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. และรักษาการเลขาธิการ กสทช. ได้ออกมายอมรับว่า จนถึงวันนี้ยังปิดจ๊อบโครงการนี้ไม่ลง เพราะ กสทช.ไม่สามารถจะตรวจรับงานได้ และแม้จะมีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาไปแล้ว แต่ กสทช. ยังไม่ได้เรียกค่าปรับจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการ ทำให้เรื่องยังคงคาราคาซังอยู่
สรุปแล้วโครงการ "เน็ตชายขอบ" ที่ใช้เงินกองทุน "ยูโซ่" USO หรือที่วงการโทรคมนาคมสัพยอกว่าเป็นกองทุน"หิวโซ"ที่ใช้งบกองทุนไปกว่า 13,614 ล้านบาทนั้น ต้องสูญงบไปกว่า 6,400 ล้าน จนป่านนี้ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้ว่าใครจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่ประเทศได้รับ
จ่อจะเจริญรอบตามโครงการจัดซื้อ"ไม้ล้างป่าช้า"เครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดเถิดเทิงของฝ่ายความมั่นคงในอดีตไปอีกโครงการแล้วผับผ่า!
แก่งหิน เพิง