
หนึ่งในดอกผลของการทำ “รัฐประหาร” ในเดือน ก.ย.49 เพื่อโค่นอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คือ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.53 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินยึดทรัพย์ ดร.ทักษิณและครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผล รวม 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ด้วยเหตุผล
เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ และเป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
คำพิพากษาดังกล่าว มีขึ้นหลังอัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ของ ดร.ทักษิณและครอบครัว จำนวน 76,261.6 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน โดยศาลให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเงินปันผล และคืนส่วนที่เหลือ 30,247 ล้านบาท เพราะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินที่มีอยู่แต่เดิม
15 ปีผ่านไป ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 68 ศาลฎีกาได้พิพากษากลับ ให้เรียกเก็บเงินภาษี จาก “ทักษิณ” 1.76 หมื่นล้านบาท กรณีขายหุ้นชินคอร์ป ด้วยเหตุผลที่เป็นวรรคทองว่า “ขาดคุณธรรมทางภาษี” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินให้ “ทักษิณ” ชนะคดีมาแล้ว
ย้อนกลับไปในปี 60 ยุครัฐบาลทหาร คสช. ดร.วิษณุ เครืองาม เรียกประชุมนักกฎหมายคนสำคัญกลุ่มหนึ่ง เพื่อหาแนวทางเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ทั้งที่กรมสรรพากรเคยมีข้อสรุปไปแล้วว่า ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ตอนที่นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โฆษกรัฐบาลให้สัมภาษณ์ว่า การเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป เป็นเรื่องที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ แต่ ดร.วิษณุ ใช้คำว่าทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วย “อภินิหารของกฎหมาย”
ในวันที่มีข่าวว่า “ทักษิณ” ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท นั้น ก็มีข่าวใหญ่อีกชิ้นหนึ่งว่า อัยการสูงสุดใช้อำนาจสั่ง อุทธรณ์คดี 112 ของ “ทักษิณ” หลังจากศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้องไปเมื่อเดือน ส.ค.68
รายละเอียดมีอยู่ว่า นายอิทธิพร แก้วทิพย์ ตอนเป็นรองอัยการสูงสุด ได้เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคดี 112 ของ “ทักษิณ” แล้วคณะกรรมการชุดดังกล่าว มีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์
แต่เมื่อผลการพิจารณาที่มีมติ 8 ต่อ 2 ไปถึงมือ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุดในขณะนั้น กลับไม่ยอมตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร จนพ้นวาระการดำรงตำแหน่งออกไป
ต่อมานายอิทธิพรคนเดิม ก้าวขึ้นมาเป็นอัยการสูงสุด จึงใช้อำนาจในตำแหน่งสั่งอุทธรณ์คดี 112 ของ “ทักษิณ” และผลจากเรื่องนี้อาจทำให้การขอพักโทษของ “ทักษิณ” ในเดือน ม.ค.69 ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมีคดีอื่นอีกหรือเปล่า?
ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้สมควรที่จะเรียกว่า “ยุติธรรมแล้ว” หรือ “อยุติธรรม” สำหรับอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นนายกฯ ที่มีผลงานจับต้องได้มากที่สุดในประเทศไทย
เสือออนไลน์