
ทอท. จุกอกเส้นทางแก้สัมปทานดิวตี้ฟรีอุ้มสม "คิงเพาเวอร์" สะดุดตอ! หลัง ป.ป.ช.จัดทำรายงานข้อเสนอแนะป้องกันการทุจริตตีแสกหน้าส่อทำรัฐเสียเสียประโยชน์นับแสนล้าน ตีกรอบให้คลังผุด กก.กำกับดูแลผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตีกันกระเตงโครงการเลี่ยง พ.ร.บ.พีพีพี บอร์ด ทอท. หมดสิทธิ์มุบมิบแก้สัญญาโดยลำพัง
กรณีที่ประชุม คณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่มีมติเห็นชอบผลการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. ทั้ง 5 แห่ง ตามผลการเจรจาของคณะทำงานเจรจา

ขณะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันเดียวกันได้รับทราบรายงานข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหาจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับคู่สัญญาของ ทอท. ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำเสนอ
ก่อนที่ ครม. จะมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับเรื่องไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ และสรุปผลการพิจารณาเพื่อนำส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอ ครม. ต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รายงานว่า ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับคู่สัญญาของ ทอท. ของ ป.ป.ช. ที่นำเสนอต่อที่ประชุม ครม. นั้น ได้นำเสนอผลศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบจากการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. ในช่วงปี 2563 เพื่อช่วยเหลือเอกชนคู่สัญญา คือ ‘กลุ่มคิงเพาเวอร์’ อันเป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

โดยผลการศึกษาฯ พบว่า การแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ฯ รวม 3 สัญญาในครั้งนั้น ทำให้รัฐอาจจะต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้จากการปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้กับบริษัทคู่สัญญาเป็นเงิน 18,021 บาท/ปี หรือรวมกว่า 1.8 แสนล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 10 ปี
ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ทั้ง 3 สัญญา มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
(1) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สัญญาที่ ทสภ. (CM) DF-1-20/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 2562 ทอท.ทำสัญญาอนุญาตให้บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ประกอบกิจการจาหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ภายในอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย. 2563 ถึง 31 มี.ค. 2574
ในสัญญากำหนดให้ KPD ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ ทอท. ในอัตราร้อยละ 20 ของยอดรายได้จากการประกอบกิจการในรอบเดือนนั้นๆ ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนเฉลี่ยตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum guarantee) โดยในปีแรกเป็นเงินจานวน 15,419 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
(2) สัญญาอนุญาตให้ KPD ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ สัญญาที่ ทอท. DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 2562 มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย. 2563 ถึง 31 มี.ค. 2574
ในสัญญากำหนดให้ KPD ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ทอท. ในอัตราร้อยละ 20 ของยอดรายได้จากการประกอบกิจการในรอบเดือนนั้นๆ ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนเฉลี่ยตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum guarantee) โดยในปีแรกเป็นเงินจานวน 2,331 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
(3) สัญญาอนุญาตให้บริษัทคิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด (KPS) ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศสุวรรณภูมิ สัญญาที่ ทสภ. (CM) MC-1-21/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 2562 ทอท. ทำสัญญาอนุญาตให้ KPS ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย. 2563 ถึง 31 มี.ค.2574

ในสัญญากำหนดให้ KPS ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ ทอท. เป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 15 ของยอดรายได้จากการประกอบกิจการในรอบเดือนนั้นๆ ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนเฉลี่ยตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum guarantee) โดยในปีแรกเป็นเงินจานวน 5,798 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
#อุ้มสม "คิงเพาเวอร์" ส่อทำรัฐสูญรายได้ 1.8 แสน ล.
ขณะที่การแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. หลังจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2563 มีมติอนุมัติแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง โดยปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่รายเดือนตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 63 ถึง 31 ม.ค. 64 ในอัตราร้อยละ 20
และสำหรับสัญญาที่เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ และมีการกำหนดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนหรือรายปี ให้เรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.63 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 65 (ต่อมาที่ประชุมบอร์ดทอท.ครั้งที่ 14/2564 วันที่ 25 พ.ย. 64 ได้ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบินอิกไปสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2566)

คณะกรรมการ ทอท. ในการประชุมครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 63 มีมติให้ขยายระยะเวลาปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ให้กับผู้รับสัมปทานออกไปอีก 1 ปี ทำให้ทอท.ขยายอายุสัญญาสัมปทานงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของ ทอท. จากเดิมสิ้นสุดในปี 2574 เป็น 2575
คณะกรรมการ ทอท. ในการประชุมครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 29 ก.ค.63 มีมติอนุมัติให้เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการตามมติคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 3/2563
โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head)และจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงไปจนกว่าจำนวนผู้โดยสารจริงของ ทอท. มีจำนวนเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนผู้โดยสารตามประมาณการของบริษัทคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD)หรือบริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด (KPS) แล้วแต่กรณีที่อ้างอิงจากเอกสารการประมูล
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า การแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจาหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. เป็นการดำเนินการโดยอาศัยเพียงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนการคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่แตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนดใน TOR และในสัญญาก่อนแก้ไข
จากตารางเปรียบเทียบประมาณการผลประโยชน์ตอบแทนก่อน-หลังการแก้ไขสัญญาฯ ของ ทอท. จะเห็นได้ว่า รัฐอาจต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้จากการปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้กับบริษัทคู่สัญญา เป็นจำนวนกว่า 18,021,536,596 บาท/ปี หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 10 ปี (รวมทั้ง 3 สัญญา)


#คณะกรรมการ พีพีพี.. กับการตีความกิจการดิวตี้ฟรี
ในรายงานข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้กับคู่สัญญาของ ทอท. ของ ป.ป.ช. ข้างต้น
ยังมีกรณีน่าสนใจ กรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ "คณะกรรมการ PPP" เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2562 มีมติว่า กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ไม่ถือว่าเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น จึงไม่ต้องดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 แต่เป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของ ทอท. จึงสามารถดำเนินการประมูลต่อไปได้
กรณีข้างต้น เป็นการพิจารณาตีความกรณีกิจการที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.พีพีพี พ.ศ. 2562 ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2562
โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า คณะกรรมการพีพีพี ตีความเพื่อ "เอื้อประโยชน์" ต่อเอกชน - หลีกเลี่ยงการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 62 อย่างชัดแจ้ง
เพราะการที่คณะกรรมการพีพีพี พิจารณาว่า กิจการร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) เป็นเพียงการให้บริการเชิงพาณิชย์ของ ทอท. ไม่ถือเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยานฯ

ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วเหตุใด ทอท. และบริษัท คิงเพาเวอร์ กลับหยิบยกเอาประเด็นที่อ้างว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด และปริมาณผู้โดยสารที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและการคาดการณ์มาเป็นเหตุแห่งการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนจนสำลัก
ทั้งที่กรณีการประกอบกิจการร้านค้าปลอดภาษี หรือกิจการเชิงพาณิชย์ภายในสนามบินในกำกับของ ทอท. เหล่านี้ คณะกรรมการพีพีพีของกระทรวงการคลังเองยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่า เป็นกิจการเชิงพาณิชย์ที่ไม่ถือเป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน ซึ่งนั่นหมายถึงปริมาณผู้โดยสาร และนักท่องเที่ยวไม่ได้มีผลหรือส่งผลต่อความสำเร็จ-ล้มเหลวของการประกอบการ
ทั้งยังก่อให้เกิดคำถามกลับไปยังคณะกรรมการพีพีพี และ ทอท. ก่อนการประชุมพิจารณาตีความ กิจการดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในท่าอากาศยานเป็นกิจการที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.พีพีพี) หรือไม่นั้น
กระทรวงการคลัง และ ทอท. ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่ ถึงได้ตีความ "ออกน้ำออกทะเล" ไปได้ถึงเพียงนี้ จึงยังผลให้การเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐซึ่งมีมูลค่านับ "แสนล้านบาท" กลับกลายเป็นเรื่อง "ขี้หมูราขี้หมาแห้ง" ที่อาศัยเพียงอำนาจของคณะกรรมการ (บอร์ด )ทอท. และความเห็นชอบของรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลเท่านั้น
#ป.ป.ช. "ขวางลำ" แก้สัมปทานอุ้มสมเอกชน!
สอดคล้องกับรายงานข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. เพื่อป้องการการทุจริตกรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบการร้านค้าปลอดภาษีและการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสนามบินในกำกับของ ทอท. ที่ระบุว่า การดำเนินโครงการ ตลอดจนการแก้ไขสัญญาต่างๆ ที่ไม่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 อาจมี "ช่องว่าง" หรือ "ความเสี่ยงต่อการทุจริต" จนทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ เนื่องจากไม่มีการกำกับดูแล และตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก

รวมทั้งยังมีกรณีการแก้ไขสัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อ ครม. ตามนัยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ดังนี้
1. ข้อเสนอด้านนโยบาย : ตั้ง กก.กำกับดูแลกิจการเชิงพาณิชย์
รัฐบาลควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาศึกษา วิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสีย ของการกำกับดูแลกิจการ โครงการซึ่งไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อนำมาออกแบบกลไก/เครื่องมือต่างๆ เพื่อกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานโดยเฉพาะกิจการเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง
โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ และต้องไม่กระทบต่อการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินการต่างๆ อยู่ภายใต้กระบวนการหรือขั้นตอนที่โปร่งใส และตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้นป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์จากการดำเนินโครงการต่างๆ ระหว่างรัฐและเอกชนในอนาคต
รวมทั้งพิจารณากำหนดหน่วยงานหรือคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการที่ไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 อาทิ คณะกรรมการกำกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบการดำเนินงานต่างๆ ให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับการดำเนินโครงการภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และทำให้การบริหารสัญญาเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้
2. ข้อเสนอด้านการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ควรมีการกำกับติดตาม และเร่งรัดให้ ทอท. ดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของ ทอท. ที่ ครม. ได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2563 โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ ระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) และการจัดตั้งจุดส่งมอบสินค้า หรือ Pick up counter
โดยในส่วนของกระบวนการซื้อขาย และตรวจสอบยอดรายได้จากการทำสัญญาต่างๆ ในอนาคต ทอท. ต้องให้ความสำคัญและกำหนดเงื่อนไขในการติดตั้ง และเชื่อมต่อระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) ที่สมบูรณ์และถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด โดยหากผู้ประกอบการไม่ดำเนินการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) ตามที่กำหนดในข้างต้น ทอท. ต้องไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่ของ ทอท.ได้ เพื่อให้รัฐได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่ถูกต้อง เป็นไปตามสัญญา และสามารถตรวจสอบได้
รวมทั้งควรจะต้องมีการรวบรวมและวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคต่างๆ ตลอดจนแนวทางการแก้ไข เพื่อให้การบริหารสัญญาต่างๆ ของ ทอท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเป็นการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของ ทอท. ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการป้องกันและลดความเสี่ยงการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการต่างๆ ของ ทอท. ในอนาคต
3. ข้อเสนอด้านการบริหารจัดการโครงการ-สัญญาของหน่วยงานรัฐ
(1) กรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการ มีการพิจารณากำหนดนโยบาย มาตรการ หรือแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญา จะต้องพิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยต้องพิจารณาให้รอบด้านก่อนการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคม และจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องไม่ดำเนินการที่มีลักษณะเข้าข่ายในการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สัญญารายใดรายหนึ่ง
ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่กระทบกับผลประโยชน์ของรัฐหรือส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ นำเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ/หรือ ครม. พิจารณาก่อนที่จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

#สั่งทำรายงานผลศึกษาให้คลัง-ครม.อนุมัติ
(2) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา อันอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หรือ ครม. ทราบด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
โดยรายงานผลการศึกษา วิเคราะห์ในข้างต้น ควรจะต้องประกอบไปด้วย ข้อดี ข้อเสีย มูลค่าความเสียหาย ตลอดจนผลกระทบในด้านต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ ความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคม และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขสัญญา ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป
(3) ในกรณีที่คู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หรือเหตุสุดวิสัยต่างๆ หน่วยงานเจ้าของโครงการ และคู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทานต้องพิจารณาถึงเหตุผล ความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะอย่างเคร่งครัด ก่อนที่จะมีการแก้ไขสัญญาหรือดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการทุจริต หรือการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนคู่สัญญาจนส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของรัฐ

#ทอท. จุกอก เส้นทางแก้สัมปทานสะดุดตอ!
ท้ายที่สุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2568 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิ ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ตามที่ ป.ป.ช. เสนอ
พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา ผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทำให้บทสรุปเส้นทางแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ระหว่าง ทอท. และกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ที่บอร์ด ทอท. เพิ่งอนุมัติให้ความเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2568 อาจต้องกลับไปนับ 1 ใหม่