กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ที่สวนรถไฟ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 63 สร้างความหวั่นไหวให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เพราะก่อนมีการจัดงานวิ่งไล่ลุง ทั้งผู้จัด ทีมงาน และบรรดาแกนนำในต่างจังหวัด ต่างก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบีบบังคับ แถมข่มขู่ด้วยข้อกฎหมายทุกรูปแบบ
แต่กลับมีการ “วิ่งไล่ลุง” กันเกือบ 20 จังหวัดทั่วประเทศ แล้วที่คนเยอะที่สุดคือสวนรถไฟ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐทั้งตำรวจ-ทหาร ที่มาดูแลความเรียบร้อยในงานนี้ รายงานตัวเลขว่าเกินหมื่นคน
ส่วนต่างจังหวัด แม้จะถูกเจ้าหน้าที่รัฐบีบกันอย่างสารพัด แต่มีคนไปวิ่งไล่ลุงกัน 100-300 คน
เมื่องาน “วิ่งไล่ลุง” จบลงแล้ว ทางผู้จัดงานประกาศว่า จะจัดงานวิ่งไล่ลุงครั้งที่ 2 ประมาณวันที่ 2 ก.พ.นี้ ที่ จ.เชียงใหม่
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จึงต้องออกมากระตุกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตรวจสอบเอาผิดว่า งานวิ่งไล่ลุง เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่
ส่วนแกนนำหลายจังหวัด ก็ถูกตำรวจเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา เรียกว่างานนี้เอากฎหมายเข้ามาเล่นงานกันเลย เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้คนที่ไม่พอใจการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงออกซึ่งสิทธิและเสรีภาพการชุมนุมในที่สาธารณะไปมากกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นเสถียรภาพของรัฐบาลจะสั่นคลอน
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาพูดในทำนองเย้ยหยันงานวิ่งไล่ลุงว่า “เสียเวลาเปล่า” แต่จับอาการแล้วคือปากกล้าขาสั่น! อาจจะสั่นพอๆ กับพล.อ.ประวิตร ที่ออกมาสั่งว่าจะไม่ให้จัดงาน “วิ่งไล่ลุง” และงาน “เดินเชียร์ลุง” อีกแล้ว! เพราะทำให้สังคมเกิดความแตกแยก ขยายวงกว้างไปอีก อาจนำไปสู่เหตุการณ์บานปลาย
“เสือออนไลน์” จับอาการผู้คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ มีความตื่นตัวออกมาวิ่งไล่ลุงกันอย่างหนาตา เพราะเหตุผล 3 ประการ คือ
1. พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปี แต่ “มือไม่ถึง” ในเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ยิ่งอยู่นานคนส่วนใหญ่ในประเทศยิ่งยากจน ส่วนปัญหาสังคม และคุณภาพชีวิตไม่ได้ดีขึ้น ไหนจะปัญหาฝุ่นควันพิษ 2 ปีแล้ว คดีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากกมาย และยาเสพติดเกลื่อนเมือง
2. ปัญหารัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่เป็นประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ ทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง กลายเป็นกับดักประเทศ แม้จะมีการเลือกตั้งก็จริง แต่เป็นการเลือกตั้ง และการตั้งรัฐบาลแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ประชาชนส่วนใหญ่ และนักลงทุนไม่เชื่อมั่นและศรัทธา
3. ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายแบบ 2 มาตรฐาน เล่นงานฝ่ายตรงข้ามมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี นับแต่มีการทำรัฐประหารเมื่อปี 49 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังใช้ 2 มาตรฐานอย่างไม่หยุดหย่อน
เห็นได้ชัดเจนมาก คือ กรณีของ 2 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พรรคร่วมรัฐบาล) ทั้ง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี เกี่ยวกับการรุกที่ดินของรัฐกว่า 600 ไร่ใน จ.ราชบุรี หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบแท้ๆยังไม่กล้าฟันธงว่าเป็นที่ดินของกรมป่าไม้ หรือ ส.ป.ก. ต้องดึงเกมส่งเรื่องไปให้กฤษฎีกาตีความ จนบัดนี้ล่วงเลยมากว่า 1 เดือน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
รวมทั้งกรณี พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร ที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก ก็ปล่อยให้ พ.ต.ท.ไวพจน์มาเดินอยู่ที่สภาฯ โดยไม่มีการจับกุม และสุดท้ายจึงปล่อยให้หลบหนีไปอย่างลอยนวล
ทั้งหมดคือ 3 เหตุผล เรียกม็อบออกมา “วิ่งไล่ลุง” โดยมีเป้าหมายวิ่งไปจนกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก หรือยุบสภาฯ หรืออย่างน้อยๆ ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
โดย..เสือออนไลน์