กลายเป็นมหกรรม “ดราม่า” ครั้งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้กับเรื่องที่ "นายกฯ ลุงตู่-พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา” ส่งจดหมายเปิดผนึกไปถึง 20 มหาเศรษฐีไทยให้เข้าร่วมฝ่าวิกฤติ "โควิด-19" กับรัฐบาลและประชาชนคนไทยโดยก่อนหน้านี้นายกฯ ได้แถลงผ่านรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจถึงสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันว่า อยู่ในภาวะที่ถือได้ว่าตึงเครียดที่สุด เป็นภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ที่ทุกรัฐบาลจำเป็นต้องดึงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มุ่งเน้นภารกิจสำคัญเป็น 2 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ งานที่เกี่ยวกับสุขภาพเพื่อลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 และงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ผ่านมาตรการและความช่วยเหลือต่างๆ ก่อนจะจบลงด้วยการระบุว่า จะออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 คน ขอให้ท่านเหล่านั้นได้บอกกับตนว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสของสังคมจะร่วมมือกันกับเราอย่างไร และจะลงมือช่วยเหลือประเทศไทย ให้มากขึ้นได้อย่างไรบ้าง “มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ผมขอให้ท่านได้มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศ และร่วมเป็นทีมประเทศไทยด้วยกันกับเรา” ที่กลายเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา ก็เพราะมีการไปโยงว่ารัฐบาลนั้นกำลังถังแตกอับจนปัญญา จนถึงกับต้องขอเรี่ยไรจากมหาเศรษฐีผู้ใจบุญของไทยทั้งหลาย และยังมีการไปโยงอีกด้วยว่า จดหมายน้อยที่จะออกไปนั้นจะมีไปถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่จัดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีไทยในลำดับที่ 16 ด้วยหรือไม่?จะว่าไปเรื่องที่นายกฯ และรัฐบาลจะออกจดหมายน้อยเชื้อเชิญเศรษฐี มหาเศรษฐี น้อย-ใหญ่มาร่วมกันระดมสมองฝ่าวิกฤตประเทศก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร หลายฝ่ายเองก็เรียกร้องและเพรียกหามาโดยตลอด แต่พอนายกฯ ประกาศขึ้นมาจริงๆ ก็กลับไปสัพยอกไปตีความไปต่างๆ นานาถึงขั้นตราหน้าว่าเป็นรัฐบาลขอทานไปซะงั้น!และจะว่าไป ประชาชนคนไทยในห้วงเวลานี้คงไม่อินังขังขอบอะไรเอากับการที่นายกฯ หรือรัฐบาลจะส่งเทียบเชิญเจ้าสัวอะไรเหล่านี้มาช่วยกอบกู้วิกฤต กอบกู้เศรษฐกิจไทยอะไรด้วยแน่ เพราะผู้คนต่างกำลังปากกัดตีนถีบดิ้นรนเอาตัวให้รอดจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญ ยิ่งในระยะ 3 เดือน 6 เดือนจากนี้ จนไม่มีเวลาจะไปคิดอ่านด้านอื่นอีกแต่ที่ผู้คนเขากังขากัน ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ว่ารัฐบาลกำลัง ”ถังแตก” จนต้องวิ่งวุ่นกู้สิบทิศเพื่อนำเงินบางส่วนมาเยียวยาช่วยเหลือผู้คนที่กำลังตกงานกันนับสิบล้านคน เฉพาะที่ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือในเวลานี้ที่นัยว่า มีมากกว่า 27-28 ล้านคนเข้าไปแล้ว หากจะต้องปูพรมช่วยเหลือกันแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชังจริงๆ ก็อาจจะเกิน 40-50 ล้านคนขึ้นไปจะว่าไปแหล่งที่มาของเงินเยียวยาให้แก่ผู้คนนั้น ดูเหมือนที่ผ่านมารัฐจะพุ่งเป้าไปที่การกู้เงินตาม พรก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท กับเร่ขอบริจาคจากบรรดาเศรษฐี มหาเศรษฐีเมืองไทยเป็นหลักเสียมากกว่า จนทำให้เกิดกระแสข่าวสับสนเรื่องเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ที่นอกจากฝนตกไม่ทั่วฟ้าแล้ว ยังยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก ยักเข้า-ยักออกจนผู้คนสับสนกันไปหมด ทั้งที่จะว่าไปรัฐเองยังมีหนทางแสวงหาแหล่งรายได้อื่นๆ ได้อีกนับสิบ บางหนทางนั้นรัฐบาลในอดีตก็เคยปูทางเอาไว้ให้แล้ว อย่างเรื่องของ “หวยบนดิน” หรือการนำเอาหวยใต้ดิน 2 ตัว 3 ตัว ขึ้นมาดำเนินการจะในรูปสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ที่รัฐบาลทักษิน ชินวัตร ในอดีตเคยดำเนินการอย่างได้ผลมาแล้ว สามารถสร้างรายได้เข้ารัฐเข้ากองสลากฯ เป็นล่ำเป็นสันปีละนับแสนล้านบาท และยังเป็นหนทางแสวงหารายได้ที่เคยทำให้รัฐมีเงินนอกงบประมาณเป็นแสนล้าน สามารถเจียดไปเป็นเงินสนับสนุนการปราบปรามหวยใต้ดิน แจกเป็นทุนการศึกษา และใช้เป็นงบฉุกเฉินทำอะไรต่อมิอะไรอย่างได้ผลมาแล้วที่สำคัญหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวที่ว่ายังเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาการขาดสลากเกินราคาที่ได้ผลที่สุดจนแทบจะเรียกได้ว่าในยุคที่หวยบนดินเฟื่องสุดๆ นั้น ปัญหาการขายสลากเกินราคาแทบจะไม่มีข่าวคราวให้เห็น ไม่มีปัญหาในเรื่องผู้มีอิทธิพล หรือ 5 เสือกองสลากใดๆ ทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงาน เกิดคนเดินโพยตามชุมชนต่างๆ อีกเป็นแสนคน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยแต่เพราะทิฐิและการเมืองที่เอะอะก็ยัดเยียดข้อหาโกง ทุจริตเชิงนโยบาย ผิดกฎหมาย วันนี้รัฐบาลและสำนักงานสลากฯ จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ ไร้หนทางในอันที่จะพลิกฟื้นหวยบนดินขึ้นมาดำเนินการได้ และแม้จะต้องหยุดการจำหน่ายและออกสลากไป 2-3 งวด แต่ปัญหาการขายสลากเกินราคาก็ยังคงฝังรากลึกพร้อมจะระอุขึ้นมาได้ทุกเมื่อโดยที่รัฐบาลและสำนักงานสลากฯ ไม่สามารถจะจัดการกับปัญหาโลกแตกนี้ได้!โดย..แก่งหินเพิง