กำลังเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น Talk of the Town..
กับ "โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง” ทั้งในส่วนของเส้นทางสายบางซื่อ-ตลิ่งชัน และบางซื่อ-รังสิต ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สู้ฟูมฟักดำเนินการก่อสร้างจะแล้วเสร็จอยู่รอมร่อ เหลือเพียงการติดตั้งระบบเดินรถไฟฟ้า ก็จะสามารถทดสอบและทดลองเดินรถไฟฟ้ากันได้แล้ว
แต่ล่าสุด ที่ทำเอาคนรถไฟ "ช็อคตาตั้ง" เมื่อจู่ๆ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรมขนส่งทางราง (ขร.) ดำเนินการศึกษาแนวทางการเปิดให้เอกชนมาร่วมทุน (PPP) เพื่อเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงจากเดิม ที่จะให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด บริหารงานเดินรถจะปรับเปลี่ยนเป็นการเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารในลักษณะ PPP แทน โดยแบ่งประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชน ที่รัฐ 60% และเอกชน 40%
โดยระบุว่า เพราะมีเนื้องานและค่าก่อสร้าง 3 สัญญาเพิ่มขึ้นกว่า 10,345 ล้านบาท โดยเฉพาะสัญญา 1 งานสถานีกลางบางซื่อ และศูนย์ซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้นมากว่า 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งผู้รับเหมาได้ขอขยายเวลาสัญญาประมาณ 512 วัน อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ จึงทำให้มีเวลาที่จะทำ PPP ได้ โดยคาดว่า หากดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนและบริหารแล้ว จะทำให้รัฐบาลประหยัดเม็ดเงินไปได้ประมาณ 60,000 – 70,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ รมว.คมนาคมยืนยันว่า “การทำ PPP จะช่วยคุมต้นทุนต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้ระเบียบพัสดุในการประกวดราคา พูดง่าย ๆ คือ เหมือนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกนั่นแหละ” นายศักดิ์สยามกล่าวและว่า ได้หารือแนวทางดังกล่าวกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แล้ว หลังจากนี้ จะนำประเด็นดังกล่าวไปทบทวนมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่เคยมีมติให้ตั้งบริษัทลูกเดินรถอีกครั้ง โดยมอบให้การรถไฟฯและกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ไปศึกษาและทำข้อมูลเพิ่มเติมกลับมาภายใน 1 เดือน และเมื่อมีการเปิดเดินรถแบบ PPP แล้วเงินลงทุนในสัญญาที่ 3 เอกชนจะต้องคืนกลับมาให้รัฐในส่วนของขบวนรถและระบบเดินรถวงเงินประมาณ 32,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยอมรับว่า จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะทำให้กำหนดการเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2564 นี้ต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1 ปี หรือประมาณปี 2565-256 “ส่วนสถานะของบริษัทลูกรถไฟ อาจจะทบทวนให้ไปทำอย่างอื่นแทน เช่น เดินรถไฟสายอื่น ส่วนบุคลากรและพนักงาน ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนบทบาทพนักงานต่าง ๆ แทน เหมือนที่ ขสมก.ปรับเปลี่ยนพนักงานเก็บค่าโดยสารมาเป็นพนักงานขับรถ”
อ่านแล้ว..ก็ได้แต่ “อึ้งกิมกี่” กับแนวนโยบาย "ไม้หลักปักเลน" ของรัฐจริงๆ ครับ ขึ้นชื่อว่า “กำพืดนักการเมือง” แล้ว ย่อมต้องมองหาวิธีการในการพลิกแพลงแสวงหาผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อกันได้วันยังค่ำ (หรือไม่).. ขนาดโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาล คสช. วางกรอบดำเนินการเอาไว้อย่างรัดกุมแล้ว ก็ยังไม่วายถูกนักการเมืองพลิกแพลง “ล้วงตับ” ง้างปากออกมาได้
สำหรับ “แก่ง หินเพิง” แล้วผมคงไม่มีอะไรจะไปแนะนำ “บิ๊กตู่- พลเอกประยุทธ์” ต่อกรณีปรับเปลี่ยนแนวทางการประเคนสัมปทานออกไปให้เอกชน "ชุบมือเปิบ" อะไรนี้หรอกครับ
เพราะเชื่อว่า ท่านนายกฯ เองน่าจะรู้กำพืดนักการเมืองได้ดีกว่าใคร ไอ้ที่ท่านต้องนำกำลังทหารลุกขึ้นมาทำรัฐประหารในอดีตนั้น ก็เพราะเห็นทาสแท้ของนักการเมืองที่รู้จักแต่โกงกินไม่ใช่หรือ? ก่อนจะจัดตั้งรัฐบาล คสช. ขึ้นมาปฏิรูปและสังคายนายกกระบิอะไรไปก่อนหน้า
แล้ววันนี้กลับจะ “กลืนน้ำลายลงคอ” ปล่อยให้นักการเมืองลากเอาแนวทางที่ คนร. และรัฐบาล คสช. วางเอาไว้อย่างดิบดีแล้ว กลับไปเข้ารกเข้าพง ยอมให้กับผลประโยชน์เพียงเพื่อจะได้รักษาเก้าอี้ไว้อย่างนั้นหรือ?
แค่ที่รัฐบาลประเคนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินออกไปให้กลุ่มทุนยักษ์กินรวบไปก่อนหน้า ก็ทำเอาผู้คนในสังคมตั้งข้อกังขาในความสัตย์ซื่อและความจริงใจของรัฐบาล คสช.มาหนแล้ว นี่ยังจะมาหักดิบ หักล้างนโยบายเดิมของรัฐบาล คสช. ที่ตนเองปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งมากับมืออีกหรือ?
หากจะมีใครลุกขึ้นมาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลชุดนี้อีกหน ผมเชื่อว่าผู้คนก็คงได้แต่สาปส่งและสมน้ำหน้ากับนักการเมืองกลายพันธุ์เยี่ยงนี้เป็นแน่ จริงไม่จริง !!!
โดย..แก่งหินเพิง