ผุดขึ้นมาอีกไอเดียสุดบรรเจิด!
กับมาตรการ “แก้ลำหวยแพง” ล่าสุด ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยจะออกมาตรการแก้ปัญหาลอตเตอรี่ราคาแพง 2 มาตรการ คือ..
1. เปิดให้ขึ้นทะเบียนผู้ค้ารายย่อยกับสำนักงานสลากฯ เพิ่มอีก 1 แสนคน โดยซื้อตรงกับสำนักงานสลากในราคาใบละ 70.40 บาท เพื่อให้นำไปขายต่อใบละ 80 บาทได้ โดยจะดีเดย์ขึ้นทะเบียนให้ได้ภายนในเดือนธันวาคมนี้
กับอีกมาตรการ คือ 2. การปรับสูตรการพิมพ์และจัดจำหน่ายลอตเตอรี่แก่ผู้ค้าเพื่อแก้ปัญหาการรวมชุด โดยจัดพิมพ์สลากแบบคละเลขทั้งหมด 100 ล้านใบ จากเดิมที่พิมพ์ 67 ล้านใบ และพิมพ์แบบเรียงเลข 33 ล้านใบ พร้อมปรับสูตรการแจกจ่ายเป็น 2-1-1-1 คือให้สลากเลขซ้ำชุด 2 ใบ 2 เล่ม และสลากใบเดี่ยวเลขไม่ซ้ำ 3 เล่ม อันจะทำให้ผู้ค้ารวมหวยชุดได้ยากขึ้น
โดยผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ ระบุว่า จะสามารรถแก้ปัญหาการรวมชุดและหวยแพงได้ เพราะสลากจะถูกกระจายไปทั่วประเทศทำให้ยากต่อการรวมชุด เพราะแม้จะจัดสรรสลากให้ผู้ค้าคนละ 5 เล่ม โดย 2 เล่มแรกที่จัดสรรให้จะเป็นเลขเรียงกัน 01-05 และ 06-10 เปิดทางให้รวมชุดได้ 20 ชุด ส่วนที่เหลือ 3 เล่มเป็นสลากเลขคละทั้งหมดทำให้ยากแก่การรวมชุด
หลายฝ่ายตีปี๊บออกมาขานรับมาตรการสุดบรรเจิดของบอร์ดสลากฯ ว่า น่าจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาโลกแตก ขายสลากเกินราคาที่รัฐบาลจนปัญญาจะจัดการ ไม่ว่าจะยุคไหน สมัยใด ก็ไม่สามารถจะแก้ไขได้เบ็ดเสร็จ แม้แต่รัฐบาล คสช. ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจพิเศษ ม.44 อยู่ในมือแท้ ๆ ก็ยังแก้ไขปีญหาโลกแตกนี้ไม่ได้
หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนไปในช่วงที่รัฐบาล คสช. บริหารประเทศปี 2557-2562 นั้น จะเห็นได้ว่า แม้พลเอกประยุทธ์ จะออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 11/2558 เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการ(บอร์ด)สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมี พลเอกอภิรัตช์ คงสมพงษ์ รอง ผบ.ทบ.ในเวลานั้นเป็นประธาน และมีกรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถือว่า เป็นคนรุนใหม่ไฟแรง มีทั้งความรู้ความสามารถระดับเบอร์หนึ่งของแต่องค์กรร่วมเป็นกรรมการ
โดยมอบหมายภารกิจให้ “บิ๊กแดง” ในเวลานั้น ยกเครื่องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดสรรเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ที่ใช้มากว่า 40 ปี โดยปรับปรุงโครงสร้างการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้โครงสร้างรายได้เอื้ออำนวยต่อทุกฝ่าย โดยกำหนดให้นำรายได้ 60% จัดสรรเงินเป็นรางวัล ส่วนที่เหลือ 20% นำส่งเป็นรายได้ส่งคลัง (ลดลงจากเดิม 28%) และอีก 20% จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ก้อน
กล่าวคือ 1. นำรายได้ไปจัดตั้งเป็นกองทุนสำนักงานสลากเพื่อพัฒนาสังคม 3% 2. ค่าบริหารจัดการภายในสำนักงาน 3% 3. ส่วนลดหรือกำไรที่ให้กับองค์กรมูลนิธิการกุศลและผู้ว่าราชการจังหวัด 2% และ 4. เพิ่มส่วนลด (กำไร) ให้ผู้ค้าสลากรายย่อยได้รับ 12%
นอกจากนี้ ยังมีการปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย เกลี่ยโควตาใหม่ให้เกิดความชัดเจน เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย รวมทั้งการยกเลิกรางวัล “แจ็กพอต” ที่นัยว่าเป็นรางวัลพิเศษที่เป็นผลพวงมาจากช่วงที่ราคาสลากตกต่ำในช่วงปี 2546-2549 ที่มีการจำหน่ายสลากเลขท้ายแบบ 2 ตัว และ 3 ตัว หรือ “หวยบนดิน” ได้กดราคาสลากลงจากคู่ละ 110-120 บาท เหลือ 3 คู่ 100 บาท ทำให้สำนักงานสลากฯ ต้องหามาตรการเพิ่มแรงจูงใจให้กับสลากเพื่อแข่งกับหวยบนดิน
นอกจากนี้ บอร์ดสลากฯ ยังสั่งตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ซึ่งเป็นการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจ กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมทั้งหมด 10 ชุด เพื่อออกปฏิบัติการทั่วประเทศ หากพบผู้ค้ารายย่อยขายเกินราคา 80 บาท ก็จะเข้าจับกุมทันที โดยมีโทษปรับ 10,000 บาท จำคุก 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่สุดท้ายทุกฝ่ายคงประจักษ์ คำสั่ง ม.44 และมาตรการแก้ลำหวยแพงที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินการไปภายใต้อำนาจพิเศษที่มีนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หนักข้อเข้าผู้ค้าสลากฯ ยังสามารถรวมหวยชุดสุด “บิ๊กบึ้ม” เอาชนิดรวมกัน 15-20 ใบ รับรางวัลชุดใหญ่ไฟกระพริบในระดับ 15-20 ใบ 80-90 ล้านก็เคยมีมาแล้ว
กลายเป็นปัญหากลัดหนองที่ประชาชนคนซื้อหวยหวังรวยทางลัดได้แต่ตกเป็นเบี้ยล่าง ไม่คาดหวังใด ๆ ว่า มาตรการแก้ลำหวยแพงของรัฐบาลและสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะไปถึงฝั่งฝันได้
กับมาตารการล่าสุดที่รัฐบาลและสำนักงานสลากฯ ตีปี๊บอยู่นี้ก็เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลและผู้บริหารกองสลากฯ คงจะลืมไปก็คือ โลกปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นยุคอนาล็อก 1 หรือ 2 จีแล้ว แต่เป็นยุค 4 จี และ 5 จี ที่ผู้คนเขาติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วฟ้าเดียวกันด้วยสมาร์ทโฟนกันหมดแล้ว การติดต่อสื่อสารทั้งมวลผ่านระบบออนไลน์ และสามารถที่จะใช้ระบบประมวลผลจัดการให้ได้ทุกอย่างแล้วบนมือถือ
ไอ้ที่ไปป่าวประกาศจัดพิมพ์สลากเลขคละแจกจ่ายออกไปทั่วประเทศ จะทำให้หนทางการรวมเลขชุดทำได้ยากขึ้น อย่างดีก็ไม่เกิน 3-5 ใบต่อชุด และคงไม่มีประเภท 20-30 ใบให้ได้เห็นกันอีกแล้ว
ท่านเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือ
เหตุใดไม่คิดบ้างว่าในเมื่อโลกปัจจุบันนั้นติดต่อสื่อสารกันด้วยระบบออนไลน์กันแทงบจะทุกอณูของระบบแล้ว ในส่วนของการขายสลากกินแบ่งนี้ก็เช่นกัน ต่อให้จัดพิมพ์สลากเลขคละกันทั้ง 100 ชุด ก็ไม่พ้นความสามารถขของระบบประมวลผลบนสมาร์ทโฟนและโลกออนไลน์ที่จะดำเนินการประมวลผลว่า จะจับคู่ตุนาหงันให้สลากของใครกันใครได้บ้าง
หากผู้ค้าสลากรวมกลุ่มกัน 50 หรือ 100 คน หรือจัดทำฐานข้อมูลผู้ค้ากันเป็น พันเป็นหมื่นราย แบบที่เพจต่าง ๆ จัดตั้งกันอยู่แล้วระดมสมาชิกเข้ามากันเป็นพันเป็นหมื่นรายได้ โอกาสที่จะแชร์เลขที่ตนเองมี เพื่อแลกเปลี่ยนสลากกับเพื่อนในกลุ่มมีอยู่ เพื่อรวมชุดกันนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงใด ๆ เลย เผลอ ๆ จะเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ปูเสื่อรอดูกันเอา
หากจะถามว่า หากการรื้อโควตาสลาก ตั้งหน่วยเฉพาะกิจไล่จับแม่ค้าขายหวยชุด หรือตั้งแท่นแก้ไขกฎหมายกองสลากฯ ยังไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดแล้ว จะยังมีหนทางอื่นใดแก้ไขปัญหานี้ได้อีก?
ก็ “หวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัว” ที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในอดีตทิ้งไว้ดูต่างหน้านั่นไง!
เพราะเมื่อครั้งที่รัฐบาลดึงหวยใต้ดิน 2 ตัว 3 ตัว ขึ้นมาดำเนินการเมื่อปี 2546 ก่อนถูกรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในชุดต่อมาล้มเลิกไปนั้น “โครงการหวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัว” ที่สำนักงานสลากดำเนินการไปร่วม 80 งวด จากงวดวันที่ 16 ส.ค.46 - 16 พ.ย.49 นั้น ไม่เพียงจะได้รับความนิยมจาก “คอหวย” จนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กองสลากฯ ถึง 130,000 ล้านบาท ทำกำไรไปกว่า 30,000 ล้านบาทแล้ว
ผลจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ไม่เพียงสำนักงานสลากฯ จะมีเม็ดเงินนับแสนล้านเทกระจาดลงไปดูแลนโยบาย “ประชานิยม” ทั้งหลายแหล่โดยไม่ต้องไปเจียดเอาจากภาษีประชาชนมาแล้ว ยังก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย เกิดคนเดินโพยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด โดยที่รัฐไม่ต้องละเลงเม็ดเงินภาษีลงไปว่าจ้างแม้แต่น้อย...
ยิ่งไปกว่านั้นช่วงที่หวยบนดินเฟื่องสุดๆ ไม่เพียงจะทำให้บรรดาเจ้ามือหวยใต้ดินดิ้นพล่านแทบจะ “สูญพันธุ์” แล้ว อานิสงส์ของหวยบนดินยังทำให้ปัญหาการขายสลากราคาแพงที่เคยเป็นปัญหา “กลัดหนอง” ของกองสลากฯ “ปิดฉาก” ลงไปด้วย เพราะผู้คนหันไปนิยมซื้อหวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัวมากกว่า จนถึงขนาดที่เอเย่นต์ ยี่ปั๊วกองสลากฯ ต้องลดราคาขาย 3 ใบ 100 ก็เคยมีมาแล้ว!
แต่หลังจากที่รัฐบาลชุดต่อมาล้มเลิกนโยบายหวยบนดินนี้ลงไป เพราะมีการไปตีความว่าเป็นการพนัน “กินรวบ” เข้าข่ายผิดกฎหมายการพนันบ้าง ไม่สอดคล้องกฎหมายกองสลากฯ เองบ้าง ก่อนจะตามมาด้วยการฟ้องไล่เบี้ยเอากับ ครม.ผู้ริเริ่มนโยบายนี้ จนยังผลให้นโยบายหวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัวนี้ถูก “ปิดประตูลั่นดาน” ลงไป!
ผลจากการล้มเลิกนโยบายหวยบนดินไป ไม่เพียงจะทำให้สำนักงานสลากฯสูญเสียแหล่งรายได้ที่เคยนำไปจุนเจือนโยบายประชานิยมต่าง ๆ ของรัฐในเชิงสังคม และขาดเครื่องมือที่เป็นทางเลือกอื่น ๆ ให้คอหวยนักแสวงโชคทั้งหลายแล้ว ยังทำให้ปัญหา “หวยแพง” หวนกลับมาหลอกหลอนประชาชนคนไทยคอหวยทั้งหลายแหล่ ที่สำคัญยังทำให้มาเฟียหวยใต้ดินที่แทบจะสูญพันธ์ไปก่อนหน้าผงาดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดอีก!
ล่าสุด ทุกฝ่ายคงได้ประจักษ์ วันนี้หวยใต้ดิน 3 ตัว 2 ตัวโผล่และผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ภายใต้เงื้อมมือของสำนักงานสลากหรือรัฐบาลใด ๆ แต่เป็นหวยใต้ดินของเจ้ามือหวยใต้ดินหรือมาเฟียหวยที่วันนี้พัฒนาไปอยู่บนโลกออนไลน์และเปิดซื้อ-ขายกันโจ๋งครึ่ม ถึงขนาดออกแคมเปญโฆษณาเชื้อเชิญผู้คนเข้ามาแทงหวยออนำไลน์ 3 ตัว 2 ตัวนี้ให้ฉ่ำปอด แถมยังจ่ายรางวัลล่อใจคนซื้อกันดีกว่าเจ้ามือหวยเถื่อนโดยทั่วไปเสียอีก
เพราะเลขท้าย 3 ตัวให้ถึงบาทละ 800-900 เลขท้าย 2 ตัวให้บาทละ 80-90 บาท เทียบกับเจ้ามือหวยเถื่อนที่ให้แค่ 500-650 บาท บางงวดหรือเกือบทุกงวด ยังมางัดลูกเล่นอั้นบ้าง จ่ายครึ่งราคาบ้าง หรือไม่รับแทงเลยก็คือ แต่หวยออนไลน์ใหม่ 3 ตัว 2 ตัวนี้พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว โดยที่รัฐบาลและกองสลากฯ ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ ไร้ปัญญาจัดการ
สำหรับ “แก่ง หินเพิง” แล้ว ในเมื่อรัฐบาลกล้าลอกเลียน “นโยบายประชานิยม” ในอดีตมาดำเนินการโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แถมไปไกลชนิดที่ต้นตำหรับยัง “อึ้งกิมกี่” อย่างการรับจำนำข้าวที่ปรับเปลี่ยนชื่อมาเป็น “จำนำยุ้งฉาง” การไล่แจกเงินชาวนา ชาวสวนปาล์มที่เราไม่เรียกว่า “ประชานิยม” กันแล้ว แต่เรียกชื่อใหม่ซะเก๋ไก๋ว่า “ประยุทธ์นิยม” รวมทั้งล่าสุดที่ไล่แจกเงินกันเป็นรายเดือนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสารพัด นิดไม่ต้องเหนียมหายแล้วว่าลอกมาจากนโยบายของใคร
ก็ทำไมถึงไม่กล้าปัดฝุ่น “หวยบนดิน” ที่ว่าขึ้นมาเดินหน้าต่อให้มันถึงพริกถึงขิงไปเลย จะมามัวเหนียมอายกันอยู่ทำไม? หรือว่าเพราะมีใครตั้งตนเป็นเจ้ามือหวยใต้ดินออนไลน์ที่ว่าซะเอง เลยไม่ต้องการจะให้รัฐเข้ามาแย่งเค้ก บอกกันมาซะดี ๆ รัฐมนตรี ”มันคือแป้ง”
โดย..แก่ง หินเพิง