กำลังเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์กับ ถ้อยแถลงของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับการอนุมัติแก้ไขประกาศ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่อนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูป หรือที่ สปก. สามารถใช้ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ที่เป็นการสนับสนุน หรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินได้เป็นการอนุมัติแก้ไขหลักการเดิมของการใช้ที่ดิน สปก. ที่ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไทย หรือ รมว.เกษตร คนไทยกล้าดำเนินการมาก่อน ซึ่งเรื่องดังกล่าวเจ้าตัวได้เปิดแถลงต่อสื่อมวลชนไปวันวานว่า สิ่งที่ตนต้องการไปนั้น ถือเป็นการตัดปัญหาการตีความ เนื่องจากที่ผ่านมา การพิจารณาอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องของ ส.ป.ก. จังหวัดต่างๆ เกิดความล่าช้าและเกิดการตีความไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดความชะงักงันของผู้ประกอบการ ขาดความชัดเจนของแนวทางการพิจารณารายการกิจการตามประกาศกระทรวงเกษตร ทำให้เกษตรกรในพื้นที่สูญเสียโอกาสในการได้รับประโยชน์จากการประกอบกิจการ ทั้งทางด้านการตลาด การสาธิต การสร้างรายได้ การสร้างงาน การบริการขั้นพื้นฐานที่พึงเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ประกาศ คปก. ลงวันที่ 28 ต.ค. 63 จึงเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 19 ประกาศรายการกิจการ ซึ่งเป็นกิจการที่พิจารณาอนุญาตให้ใช้ที่ดินภายใต้กรอบของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ เพื่อเป็นแนวทางการใช้ดุลยพินิจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเท่านั้น ส่วนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อกิจการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องฯ ยังคงต้องอยู่ภายใต้ระเบียบ คปก. ดังนั้น ประกาศ คปก. ดังกล่าว จึงไม่ใช่ฐานทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การเปิดช่องหรือเอื้ออำนวยการให้มีการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ไปเพื่อกิจการอื่นที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายปฏิรูปที่ดินแต่อย่างใด“จากการไปประชุม ครม.สัญจรที่ภูเก็ต ตนได้รับรายงานจาก สปก. และรับฟังเสียงจาก ประชาชนผู้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก.ว่า สภาพที่ดินส่วนใหญ่กลายเป็นชุมชนไปกว่า 89% มีโรงแรม 3-5 ดาว กว่า 300 แห่ง เป็นโฮมสเตย์ไม่น้อยกว่า 100 แห่ง ประชาชนในหลายๆ จังหวัดก็มีบริบทไม่ต่างกับ ภูเก็ต กระบี่ พังงา ฯลฯ ดังนั้น ควรมีการแก้ไขระเบียบ คปก. เพื่อยึดคืนหลวงก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป โดยมิให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนดังกล่าว" ฟังสิ่งที่ รมช.เกษตรชี้แจงแล้ว หลายฝ่ายต่างแสดงความกังวล ประกาศที่ออกมาข้างต้นเป็นไปเพื่อสร้างความกระต่างในการพิจารณากิจการที่จะพิจารณาผ่อนปรนให้ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินแน่หรือ เป็นการออกประกาศเพิ่อสกัดการใช้ดุลยพินิจครอบจักรวาล หรือเป็นดาบ 2 คมที่จะทำให้ คปก.ใช้ดุลยพินิจในวงกว้างมากขึ้นและทำให้หลายต่อหลายฝ่ายนึกเลยไปถึง กรณีอิ้อฉาวแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน สปก.4-01 ในอดีตเมื่อ 25 ปีก่อน ที่มีตัวละครสำคัญคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาฯ กปปส. ที่ขณะนั้นเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีนโยบายแจกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 ที่ จ.ภูเก็ต จำนวน 592 แปลง ให้เกษตรกร 489 คน ซึ่งจากการตรวจสอบผู้ได้รับแจกเอกสารสิทธิ์นั้น ปรากฎชื่อของคนใน "11 ตระกูลดัง" ของภูเก็ตรวมอยู่ด้วย รวมถึงนายทศพร เทพบุตร สามีของนางอัญชลี วานิช ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นเป็นผลให้ถูกร้องเรียนและมีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์กันขนานใหญ่ จนกระทั่งตัวนายสุเทพ ต้องลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ต้องประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2538 ก่อนที่สภาฯ จะนัดลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล จนกลายเป็น "ฝันร้ายพรรคประชาธิปัตย์" มาโดยตลอดเมื่อมาประจวบเหมาะกับความพยายามของพรรคพลังประชารัฐที่จะรื้อฟื้นนโยบายซื้อขายที่ดิน สปก.ก่อนหน้านี้ ที่ชูนโยบาย ต้องการให้มีการแก้ปัญหาการถือครองที่ดิน ส.ป.ก. ที่ไม่สามารถโอนให้ลูกหลานได้ พรรคพลังประชารัฐ จึงผลักดันนโยบายที่จะ ”ปั้นที่ดิน สปก.ให้เป็นทองคำ” เพื่อให้สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้อันจะทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ จึงทำให้หลายฝ่ายนำเอาสิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการล่าสุดนี้ไปโยงว่า นี่คือการเปิดช่องให้นายทุนรุกคืบเข้ามาฮุบที่ สปก.ได้นั่นเองคงต้องจับตาดูบทต่อไปของประกาศเจ้าปัญหาที่ว่า จะเป็นการแก้ไขปัญหาคาราคาซังในของการตีความกิจการที่อยู่ในข่ายดำเนินการได้ ตามนิยามอันคลุมเครือของกิจการที่สนับสนุนการใช้ที่ดิน สปก. อย่างแท้จริง หรือคือใบเบิกทางให้นายทุนรุกคืบเข้าฮุบที่ดิน สปก.กันแน่เรื่องแบบนี้ "ช้างตายทั้งตัว ย่อมเอาใบบัวปิดไม่มิด" แน่ แบบเดียวกับกรณีที่เจ้าตัวเคยถูกศาลออสซี่พิพากษาให้ต้องติดคุกในออสเตรเลียมาแล้ว เพราะเกี่ยวพันกับการลักลอบนำเข้ายาเสพติด ที่แม้จะยืนยันนั่งยันว่ามันคือ "แป้ง" แต่ความจริงยังไงก็หนีความจริงไปไม่พ้น!แก่งหินเพิง