กำลังเรียกแขกให้งานเข้า เขย่าเสถียรภาพของรัฐบาลและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร..กับเรื่องของวิกฤตไวรัสสูบนรก “โควิด-19” ที่หวนกลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมาและทำท่าจะกู่ไม่กลับ ทำให้เทศกาลปีใหม่ของไทยที่วาดฝันจะกลับมาชุบชีวิตเศรษฐกิจต้องพังทลายลงไปอย่างน่าเสียดาย ทุกพื้นที่ต้องฉลองเทศกาลปีใหม่กันอย่างหงอยเหงากลายเป็นความโกลาหลต้องลุ้นระทึกกับมาตรการ "ล็อคดาวน์" ของรัฐบาลที่จรดจ่อจะออกมาให้ได้วันละ 3 ครั้ง เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสระลอกใหม่นั้นพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ระยะเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์นับจากการแพร่ะระบาดที่แพกุ้งสมุทรสาคร และบ่อนพนันที่ระยองนั้น ยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดทะลักไปกว่า 8,000 รายเข้าไปแล้วแม้นายกรัฐมนตรีและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะไม่ได้งัดยาแรงด้วยการล็อกดาวน์ประเทศเช่นที่เคยใช้ในอดีตเมื่อต้นปี 2563 แต่ ศบค.ก็ออกประกาศยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ใน 28 จังหวัดให้เป็นพื้นที่(โซน)แดง ที่ต้องดำเนินมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างเข้มข้น ทั้งการปิดสถานบริการ สถานที่เสี่ยงต่างๆ ชั่วคราว รวมทั้งออกมาตรการจำกัดการเดินทาง การใช้ชีวิตประจำวันอย่างเข้มงวดนับ 10 ประการ ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ก็มีมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสสูบนรกที่ว่านี้ไม่แพ้กันอย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนต่อมาตรการที่เกือบจะล็อกดาวน์ประเทศครั้งใหม่นี้ แทนจะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนคนไทยทั่งประเทศเฉกเช่นในอดีต ตรงกันข้ามกลับได้รับ ”ก้อนอิฐก้อนกรวด” สวดชยัญโตตามมาเป็นพรวนแทน เพราะต้นตอของการระบาดเชื้อไวรัสโควิดครั้งใหม่นี้ หาได้เกิดจากประชาชนคนไทยการ์ดตก หรือไม่ได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการดำเนินชีวิตเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ว่าตรงกันข้าม ตลอดช่วงขวบปีที่ผ่านมานั้น ประชาชนคนไทยกลับให้ความร่วมมือกับ ศบค. ที่ไม่ว่าจะออกมาตรการใดออกมา ประชาชนคนไทยก็พร้อมให้ความร่วมมือ และสนองตอบต่อมาตรการเหล่านั้นอย่างทันท่วงที และกระแสสังคมยังพร้อมจะใช้มาตรการทางสังคมกดดัน สาบส่งจนถึงขั้นอัปเปหิผู้คนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ว่านี้เสียด้วยแต่เมื่อมีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่า การระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ระลอกใหม่นั้น เกิดมาจาก ”แรงงานเถื่อนจากเพื่อนบ้านเมียนมา” ที่ลักลอบเข้ามาทำงานอยู่ในพื้นที่แพกุ้งแพปลาในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานเถื่อนเหล่านี้ที่นัยว่า มีเจ้าหน้าที่เข้าไปพัวพันอยู่กับอีกส่วนของปัญหายังมาจาก ”บ่อนพนัน” ในพื้นที่จังหวัดระยอง และจันทบุรี ซึ่งเป็นต้นตอการแพร่เชื้อไวรัสระลอกใหม่ จึงทำให้ผู้คนถามหาความรับผิดชอบจากภาครัฐว่า จะลงโทษบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งกับการลักลอบนำเข้าแรงงานเถื่อน (เกลื่อนเมือง) และที่ปล่อยให้มีการเปิดบ่อนเล่นการพนันกันอย่างไร?ยิ่งเมื่อนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โฮชา ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนคนไทยต้องล็อกดาวน์ตนเอง หยุดการเดินทางออกจากบ้านสัก 14-15 วัน เพื่อที่รัฐและ ศบค.จะได้ประเมินผลการแบ่งพื้นที่โซนควบคุมต่าง ๆ ว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน สมควรจะออกมาตรการ หรือยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสูบนรกที่ว่านี้เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่เสียงสะท้อนที่มีไปยังนายกฯ และรัฐบาล ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปทุกขณะ ยิ่งกว่าการ “สาดน้ำมันเข้ากองไฟ” เพราะทุกฝ่ายต่างประจักษ์ถึงต้นตอที่ทำให้เชื้อไวรัสสูบนรกหวนกลับมาระบาดระลอกใหม่นี้ มันหาได้เกิดจากประชาชนคนไทยการ์ดตกกันอย่างที่นายกฯ และผู้คนในรัฐบาลโยนขี้ให้ แต่เกิดจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ และความเห็นแก่ได้ของเจ้าหน้าที่บางคนบางกลุ่มที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงาน และเปิดบ่อนกันอย่างเอิกเกริกต่างหากจึงไม่แปลกที่ ในทันทีที่ กทม.ประกาศปิด 25 สถานที่เสี่ยงชั่วคราว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แบบไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มตั้งแต่เช้าวันที่ 2 ม.ค.2564 เป็นต้นมา สำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่ม แม้จะยังสามารถนั่งทานในร้านได้ในช่วงตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม แต่ก็ห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านถึงขนาดที่ ร้านชาบูดังแห่งหนึ่งในย่านวุฒากาศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบายความอัดอั้นตันใจสวนหมัดรัฐบาลและกทม. ทันทีว่า.."เอาอีกแล้วหรอจะสั่งให้ปิดอีกแล้วหรอ หนี้เก่ายังเคลียร์ไม่หมด แล้วแบบนี้จะให้พวกกูแดกอะไร ความผิดประชาชนหรอ ความผิดกูหรอ คนพวกเห็นแก่ได้ ที่มันรับเงินและรับคนติดเชื้อเข้ามา มึงได้เงินแล้วประชาชนได้อะไรได้รับความเดือดร้อน ยังไงก็จะเปิด"เช่นเดียวกับเสียงสะท้อนของประชาชนโดยทั่วไป ที่มองว่าการที่รัฐจะล็อกดาวน์ในครั้งนี้ เหตุใดรัฐจะมาลงเอยเอากับประชาชน ในเมื่อต้นตอของปัญหา คือ “บ่อน” และ ”แรงงานต่างด้าว” ที่หลบหนีเข้าเมืองโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐเกือบทุกระดับรู้เห็นเป็นใจนั้นต่างหากคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ แต่ภาครัฐกลับไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับคนเหล่านี้ อย่างมากก็ย้ายผู้กำกับหรือ 5 เสือในพื้นที่ออกไปชั่วคราว รอให้เรื่องซาลงก็คงได้กลับไปนั่งที่ใหม่ สานต่อภารกิจเดิมกันต่อไป“ปชช.คนทำมาหากินสุจริตไม่ได้การ์ดตก..ทำตามมาตรการของรัฐมาตลอดและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี..จนยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ แต่มีคนเห็นแก่ตัวบางจำพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว..กับธุรกิจผิดกฏหมาย(บ่อน)..แต่คนอีกหลายล้านคนต้องมารับกรรม..แต่พวกเวรนี่นั่งนับเงินในห้องแอร์สบายใจเฉิบละมั้งตอนนี้...I hee too.....”ก็คงเพราะเหตุนี้ ถึงทำให้ท้ายที่สุด พลเอกประยุทธ์ ในฐานะประธาน ศบค. ต้องกระตุกเบรก กทม. ด้วยการออกประกาศยกเลิกคำสั่งของ กทม. เรื่องห้ามนั่งกินที่ร้านอาหาร ภัตตาคารตั้งแต่เวลา 19.00 น. – 06.00 น. โดยให้ผ่อนผันไปจนถึงเวลา 21.00 น. – 06.00 น. ด้วยเหตุผลรัฐบาลได้รับฟังข้อเสนอจากสมาคมภัตตาคารต่างๆ ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจึงให้ยกเลิกประกาศของ กทม. เดิมไปก่อน และให้มีการขายอาหารประเภทนั่งรับประทานที่ร้านได้ถึงเวลา 21.00 น. แต่ต้องมีมาตรการที่เราเคยทำไว้แล้วเดิมแต่กระนั้น ความเชื่อมั่นที่ประชาชนคนไทยมีให้กับรัฐ ก็ยังคงไม่ดีขึ้น ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถกระชากหน้ากาก ”ขบวนการแรงงานเถื่อน และลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับการปล่อยให้เปิดบ่อนพนัน” ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ก็เห็นทีว่าดอกไม้ที่ “นายกฯ ลุงตู่” เคยได้รับจากนานาอารยประเทศ จากผลสำเร็จของการสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในอดีต จะแปรเปลี่ยนไปเป็นก้อนอิฐแทนและผู้คนก็พร้อมที่จะ ”อารยะขัดขืน” มาตรการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเหล่านี้!โดย แก่งหินเพิง