มหากาพย์แห่งการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส “โควิด-19” ระลอกใหม่ของประเทศไทยที่ทำเอาประชาชนคนไทยทุกคนต้องรับกรรมกันถ้วนหน้า และยังคงเขย่าเศรษฐกิจไทยจนแทบกู่ไม่กลับ แม้รัฐบาลจะงัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ งัดมาตรการบรรเทาเยียวยาประชาชนระลอกแล้ว ระลอกเล่า ก็ทำท่าจะ ”เอาไม่อยู่”ส่วนหนึ่งของปัญหานั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า มาจากการที่ทุกฝ่าย ”การ์ดตก” อย่างที่ “แก่งหินเพิง” เคยแสดงความกังวลไปก่อนหน้านั่นแหล่ะ ไม่ใช่จะโยนกลองโทษแต่มาตรการอันหละหลวมของรัฐเท่านั้น เพราะเดินไปจับจ่ายตลาดที่ไหนๆ ก่อนหน้านี้ก็เจอแต่ความหละหลวมของผู้คนที่การ์ดตกกันเกือบยกประเทศ ต่างยังคงใช้ชีวิตปกติแทบจะไม่มีการรักษาระยะห่างทางสังคมอะไรเลยเรายังคงเห็นร้านอาหารหลายต่อหลายแห่ง เปิดให้บริการโดยปราศจากมาตรการป้องกันความเสี่ยง หรือการรักษาระยะห่างทางสังคม และแม้จะมีการประกาศมาตรการเฝ้าระวังสุดเข้มข้นระลอกใหม่เราก็ยังคงเห็นแก๊งค์ไฮโซ ไฮซ้อ และดีเจคนดังแอบ (ป่าวประกาศ) จัดปาร์ตี้วันเกิดกันโจ๋งครึ่ม จนกลายเป็นคลัสเตอร์การระบาดที่เป็น super spreader เลยก็ว่าได้จึงไม่แปลกใจ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสระลอกใหม่จึงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง และหนนี้ดูจะรุนแรงหนักหนาสาหัสเสียงยิ่งกว่าเดิม เพราะรัฐจะกลับไปใช้มาตรการอันเข้มงวดแบบเดิมก็ทำได้ยาก เมื่อผู้คนที่ต่างได้รับผลกระทบ ต้องตกงานกันระเนระนาด แทบหมดเส้นทางทำกิน การจะให้ปฏิบัติตามมาตรการอันเข้มข้นของภาครัฐที่เอาแต่สั่ง ๆ ๆ คงทำไม่ได้แน่ แต่เรื่องที่สอดแทรกขึ้นมาในช่วงที่สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสไควิด-19 ที่กลายมาเป็นประเด็น “ดราม่า” บนโลกโซเชียล ก็เห็นจะเป็นเรื่องของ “แอปหมอชนะ" แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยควบคุมป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 โดยจะบันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้งาน แล้วแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานที่มีประวัติสัมผัส หรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ เพื่อช่วยคัดกรองและตรวจสอบย้อนกลับ ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดทำได้อย่างมี่ประสิทธิภาพมากขึ้น แอปดังกล่าวถูกพัฒนาโดย "กลุ่ม Code for Public" ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระหลายสิบกลุ่มที่มีจิตอาสามาจับมือกัน เพื่อพัฒนาแอปนี้ โดยมีภาครัฐคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส เข้ามาดูแล ซึ่งแรกที่เปิดแอปดังกล่าวขึ้นมาก็สร้างความฮือฮาเพราะรัฐดูจะเอาจริงเอาจังในการให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมแต่หลังจากเปิดแอปดังกล่าวไปไม่ถึง 2 สัปดาห์ กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็มีข่าวช็อคเมื่อเพจ "ทีมงานอาสาหมอชนะ" ออกมาโพสต์ว่า พวกเขากำลังจะถอนตัวพร้อมส่งมอบ “แอปหมอชนะ” ให้ภาครัฐดูแลเอง โดยไม่ยอมพูดถึงเหตุผล ที่พากันถอนตัวยกทีมในครั้งนี้ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นเพราะถูกรัฐเข้าไปล้วงลูกหรือแทรกแซงการทำงานแน่แต่จากการตรวจสอบของผู้คนในแวดวงนักพัฒนาแอปด้วยกัน ก็ทำให้ทราบว่า เบื้องหลังการตบเท้าของทีมงานจิตอาสาผู้พัฒนาแอปหมอชนะในครั้งนี้ มาจากการแทรกแซงของภาครัฐในระดับนโยบาย ที่ลงมาล้วงลูกและสั่งการทีมงานเพจ จน “รับไม่ได้” นั่นแหล่ะ โดยมีการสั่งเปลี่ยนสีตามความเสี่ยง จากที่กำหนดไว้ใน 4 ระดับ คือ เขียว เหลือง ส้ม แดง เพื่อสนองความต้องการทางการเมือง เพราะไม่ต้องการเห็นความล้มเหลวของภาครัฐในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด และแม้ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 (ศบค.) จะลงมาเคลียร์หน้าเสื่อก็ยังเอาไม่อยู่ เพราะสุดท้ายแล้วเพจ "Code for Public" ก็ประกาศยืนยันจะส่งมอบแอปหมอชนะให้รัฐดูแลเอง 100% โดยทีมงานพัฒนาจะขอใช้เวลา 2 สัปดาห์ที่เหลือแก้ไขบั๊ก (จุดบกพร่องของแอป) และลบข้อมูลบางส่วนบางประการของผู้ใช้ออกไปก่อนเพื่อรักษาสิทธิ์ส่วนบุคคลไม่ให้ถูกล้วงตับ ก่อนส่งแอปให้รัฐบาลดูแลต่อไป กลายเป็นว่า วันนี้แอป “หมอชนะ” พ่ายการเมืองไปแล้วแทบจะปลิวหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทำให้การแถลงความคืบหน้าของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มถูกตั้งคำถามว่า มีความน่าเชื่อถือน้อยแค่ไหน เจือไปด้วยใบสั่งทางการเมืองหรือมุ่งสนองใบสั่งทางการเมืองหรือไม่ ?เมื่อมาประจวบเอากับความหย่อนยานของการบังคับใช้มาตรการอันเข้มข้นของรัฐ จากที่เคยป่าวประกาศ กรณีการปกปิดข้อมูลการเดินทางของผู้ที่ได้รับการตรวจสอบว่า ติดเชื้อแล้วนั้น ถือว่าเป็นการกระทำผิดที่มีโทษทั้งแพ่งและอาญา โดยมีโทษปรับถึง 20,000 บาท และยังมีโทษจำคุกด้วย..แต่เอาเข้าจริงเมื่อมาเจอกับกรณีผู้ป่วยจากคลัสเตอร์ดีเจคนดัง ที่ปฏิเสธจะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ทำให้ไม่ทราบไทม์ไลน์ว่า หลังจาก กลุ่มคนเหล่านี้ตั้งวงปาร์ตี้ “เสพสมกันโจ๋งครึ่ม” ไปแล้ว ได้แยกย้ายกันไปต่อที่ไหนกันอีกบ้างข้อมูลไทม์ไลน์ที่สำคัญที่หายไปนั้น หากประชาชนคนไทยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย จะเอาผิดกับใครได้ หรือจะโยนเป็นความรับผิดชอบของใครกัน สังคมกำลังพากันตั้งข้อกังขาและปูเสื่อรอว่า รัฐจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?อย่าให้เป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ทำเอาสังคมระส่ำเลย “หมอหนู” ที่เคารพ!!!โดย แก่งหิน เพิง