เมื่อก่อนขึ้นชื่อว่านักการเมืองแล้ว ดูจะเป็นคำแสลงหูของประชาชนคนไทยเราเหลือเกิน เพราะไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดต่างก็ถูกตราหน้าว่า เข้ามาก็เพื่อหวังประโยชน์ และแสวงหาช่องสวาปามเพื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น
จนเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลุกขึ้นมารัฐประหารขับไล่นักการเมืองเหลือขอทั้งหลายออกไป ทุกฝ่ายจึงต่างคาดหวัง รัฐบาล คสช. จะปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ขจัดรากเหง้าของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยได้
ที่ไหนได้ไม่เพียงปัญหารากเหง้าเหล่านี้จะไม่ถูกขจัด ตัวหัวหน้า คสช. เองที่คงจะหลงใหลกลิ่นอายการเมืองเข้าไปจนถึงกระดูกดำ ถึงได้แสดงออกถึงพฤติกรรมที่ตอกย้ำให้เห็นถึง “กำพืด” และความฟอนเฟะของนักการเมืองหนักเข้าไปอีก
ทั้งการไฟเขียวจัดตั้งพรรคการเมืองพลังดูดที่อาศัยความได้เปรียบทางการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแบบเปิดเผย โดยไม่ยี่หระและสะท้านต่ออำนาจการตรวจสอบใด ๆ ขอเพียงกรุยทางให้หัวหน้า คสช. เดินไปสู่เป้าหมายแห่งการสืบทอดอำนาจเท่านั้น เมินข้อเรียกร้องต่อคุณธรรม จริยธรรมทางการเมืองที่ทุกฝ่ายเพรียกหา
มาถึงการสรรหาและแต่งตั้ง 250 สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ที่จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนรัฐสภาไทยในอนาคตก็ไม่ต่างกัน อุตส่าห์ถลุงเม็ดเงินภาษีหมดไปกับกระบวนการปาหี่สรรหาว่าที่ ส.ว. คุณภาพไปกว่า 1, 300 ล้านบาท แต่บทสรุปสุดท้ายของการสรรหา ส.ว. ที่ได้นั้นกลับได้ ส.ว. ที่มาจากการสะบัดปากกาของหัวหน้า คสช. เป็นหลัก ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นคน "กากี่นั้ง" กลายเป็น “สภาตั้วเฮีย-วงศาคณาญาติ” ไปซะฉิบ!
ตอกย้ำกำพืดนักการเมืองที่ยิ่งทำให้ผู้คนอิดหนาระอาใจกันเข้าไปอีก!
มาถึงรัฐบาล คสช.เองที่ป่าวประกาศจะเป็นรัฐบาลปฏิรูปเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจในอนาคต ถึงขนาดจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ “มัดตราสัง” การจัดทำแผนและนโยบายการพัฒนาประเทศในอนาคต รวมทั้งลากสังขารกรรมการที่ล็อคโผล็อกเป้ากันเอาไว้แล้วไม่กี่พระหน่อไปถึง 20 ปีข้างหน้านั้น
แต่ตัวนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คงจะสวมหมวกหลายใบเกิน เมื่อจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ตนเองและเครือข่ายแม่น้ำ 5 สายช่วยกันทำคลอดออกมา เราจึงได้เห็นนายกฯ ที่เป็นทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อยามจะต้องสะบัดปากกาบังคับใช้กฎหมายอนุมัติโครงการสัมปทานหรือฟันใครต่อใคร (ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม) และไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐใดๆ เมื่อจะต้องถูกตรวจสอบจากองค์กรอิสระผู้มีอำนาจทั้งหลายว่าทำผิดกฎหมายหรือไม่
ในยามที่การเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งสุดอภิมหามาราธอน ที่ "กินเนส บุ๊ก" คงต้องจารึกไว้ว่า เป็นการเลือกตั้งสุดมาราธอนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกนั้น
รัฐบาลปฏิรูป คสช. ที่แม้จะยืนยัน นั่งยันว่ามีอำนาจเต็ม จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แต่ในสภาพที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) และรัฐมนตรีกว่าครึ่งค่อนตบเท้าลาออกไปเป็น ส.ว. ใหม่กันถ้วนหน้า จนเหลือรัฐมนตรีรักษาการอยู่ไม่กี่พระหน่อนั้น รัฐบาลรักษาการของพลเอกประยุทธ์ ก็ยังอุตส่าห์สร้าง “วีรกรรม” ทิ้งทวนโครงการ Mega project โครงการสัมปทานมูลค่านับแสนล้าน ที่มีผลผูกพันไปยันชั่วลูกชั่วหลานออกมาไม่เว้นอาทิตย์
ไล่ดะมาตั้งแต่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภามูลค่ากว่า 200,000 ล้าน ที่กำลังระอุแดด บริษัทเอกชนที่ถูกเขี่ยตกรอบลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอต่อศาลปกครองว่าถูกเขี่ยตกรอบอย่างไม่เป็นธรรม
ตามมาด้วยโครงการ ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) 84,000 ล้าน ที่คณะกรรมการพิจารณาประชุมไฟเขียวผลประมูลไปแบบรวบรัดเสร็จสรรพแบบม้วนเดียวจบ
ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูงไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ที่คณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (บอร์ดอีอีซี) เพิ่งไฟเขียวเห็นชอบผลการประมูลและร่างสัญญาร่วมลงทุนให้แก่กลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง และพันธมิตร และเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.เพื่อไฟเขียวอนุมัติโครงการวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ทั้งที่เหลือ ครม. นั่งประชุมพยักหน้ากันไม่กี่พระหน่อนี่แหล่ะ
ส่วนสัมปทานร้านปลอดภาษี ”ดิวตี้ฟรี” ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และท่าอากาศยานภูมิภาคของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มูลค่านับแสนล้านบาทนั้น คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ไฟเขียวให้ ทอท. เดินหน้าประมูลสัมปทานโตรงการนี้ โดยไม่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ พ.ร.บ.พีพีพี ปี 2562 ที่รัฐบาลเพิ่งทำคลอดไป เปิดทางให้กลุ่มทุนการเมือง ซึ่งรับรู้กันดีว่ามีใครอยู่เบื้องหลังได้ "กินรวบ" ผูกขาดผลประโยชน์ของชาติกันไปอีกชาติ
ทุกโครงการที่อนุมัติทิ้งทวนกันออกไปนั้น ผูกพันผลประโยชน์ของประเทศชาติไปชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งหากเป็นรัฐบาลปกติ การที่รัฐบาลรักษาการที่เหลือรัฐมนตรี และ ครม. อยู่ไม่กี่คน จัดประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติ ทิ้งทวนโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ มูลค่านับหมื่น หรือนับแสนล้านบาทเช่นนี้ ก็คงถูกเครือข่ายภาคประชาชน และองค์กรอิสระทั้งหลายตบเท้าเข้ามาตรวจสอบกันอย่างถึงพริกถึงขิง
แต่กับรัฐบาล คสช. ชุดนี้ บรรดาเครือข่ายเอ็นจีโอ นักวิชาการ หรือองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบทั้งหลายกลับหายเข้ากลีบเมฆไม่มีใครกล้าหือ ไม่มีใครหรือองค์กรใดแอ่นอกออกมา ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติที่กำลังจะถูกปล้นไปแม้แต่น้อย!!!!
โดย..แก่งหินเพิง