กำลังเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น Talk of the Town กับเรื่องที่นายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกประกาศให้บรรดาอำนาจหน้าที่ทั้งหลายทั้งปวงตามพระราชบัญญัติกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามที่นายกฯมอบหมาย ให้โอนกลับมาเป็นของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. แต่เพียงผู้เดียว อันเป็นการ “ริบ” หรือ “ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” ของนายกฯ บิ๊กตู่ เลยก็ว่าได้ หลังจากรัฐบาลประสบกับความ “ล้มเหลว” ในการแก้ไขปัญหาไวรัสมฤตยู “โควิด-19” ที่กำลังแพร่ระบาดลามเลียไปทุกหย่อมหญ้า ทำเอาประชาชนคนไทยอกสั่นขวัญแขวนแทบสติแตก! ไอ้ที่เคยยกยอปอปั้นกันว่า เราสามารถควบคุมการระบาดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดีจนทั่วโลกต่างชื่นชมและถึงขั้น รมต.บางคนออกมาปรามาสว่า “ไวรัสกระจอก” นั้น วันนี้กลับตาลปัตรกลายเป็นหนังคนละม้วน! เพราะในขณะที่ประเทศต่างๆ ตีปี๊บความสำเร็จในการจัดหาวัคซีนต้านโควิด และระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนของตนไปกว่าครึ่งค่อนโลก อย่างสหรัฐอเมริกาที่ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่แม้จะเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 100 วัน แต่กลับสามารถระดมฉีดวัคซีนให้ชาวมะกันไปแล้วกว่า 140 ล้านคน หรือกว่า 40% ของประชากร ลดอาการตื่นตระหนกของผู้คนไปได้อย่างราบคาบ บางประเทศอย่าง อิสราเอลนั้น เริ่มปลดล็อคให้ผู้คนออกไปใช้ชีวิตกันตามท้องถนนกันได้แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยเรากลับต้องมาลุ้นระทึกว่า เราจะเป็นประเทศสุดท้ายของโลกที่ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิดหรือไม่ เพราะกว่าขวบปีที่รัฐบาลกรอกหูพวกเราให้ต้องช่วยกันรักษาวินัยร่วมใจกันฝ่าวิกฤตโควิด และรัฐบาลยืนยัน จะไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง แต่วันนี้เราต่างประจักษ์ นับร้อยชีวิตกลับต้องเซ่นสังเวยไปกับความ “ล้มเหลว” ในการบริหารจัดการวิกฤตไวรัสโควิดในครั้งนี้ และโดยเฉพาะเรื่องของการจัดหาวัคซีนที่ “ล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง!สิ่งที่ผู้คนยังคงกังขาและคลางแคลงใจตลอดช่วงขวบปีที่ประเทศต้อง “จมปรัก” อยู่กับไวรัสมฤตยูนั้น เราถูกกรอกหูมาโดยตลอดว่า รัฐบาลจะเป็นหัวหอกในการนำเข้าและกระจายวัคซีนเอง พร้อมให้ความหวังกับประชาชนถึงขั้นที่ว่าเราจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ที่ประชาชนจะได้รับวัคซีน และนำประเทศออกจากวิกฤตได้ พร้อมทั้ง “ปิดประตูลั่นดาน” ไม่ยอมให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนต้านโควิดเอง โดยสร้างกลไกสกัดกั้นการนำเข้าไว้เป็นพะเรอเกวียน แต่เมื่อประเทศเดินมาถึงขั้นวิกฤตที่รัฐบาล “เอาไม่อยู่” แล้ว ทุกฝ่ายต่างมาถึงบางอ้อ ปราการที่รัฐสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นการนำเข้าวัคซีนของภาคเอกชนก่อนหน้านี้ ก็แค่มหกรรมปาหี่ที่มี “วาระซ่อนเร้น” เพราะเอาเข้าจริงเมื่อรัฐบาลจนตรอก ก็กลับเปิดให้มีการนำเข้าได้ในทุกช่องทาง ขอเพียงให้อานิสงส์ของวัคซีนถูกส่งมาถึงประเทศไทยได้เท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เหตุใด สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถึงระดมมันสมองจาก 40 ซีอีโอในภาคธุรกิจทุกแขนงเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา (กันเอง) โดยไม่หวังพึ่งรัฐ จนกลายเป็นภาพของ “รัฐซ้อนรัฐ” ไปแล้วในเวลานี้ เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในกลไกของรัฐได้อย่างชัดเจน และนั่นคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นายกฯ บิ๊กตู่ ต้องแก้เกม ด้วยการขออำนาจพิเศษให้โอนอำนาจทั้งปวงตามกฎหมาย 31 ฉบับมาอยู่ในอุ้งมือของผู้อำนวยการ ศบค. เพียงคนเดียว เพื่อหวังจะเรียกคืนความเชื่อมั่นและแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่จะกลายเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" ที่ทำให้รัฐบาลแพแตกหรือไม่ ปูเสื่อติดตามอย่ากระพริบ !!!โดย แก่งหิน เพิง