ไม่ว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หรือ “เทวดาหน้าไหน” ที่ลงแข่งชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.52 ผลสุดท้ายคือแพ้ราบคาบตั้งแต่อยู่ในมุ้ง..
เนื่องจากคะแนนของนายธนาธรเริ่มเดินตั้งแต่ 1-2-3-4-5-6..........แต่คะแนนของ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มเดินตั้งแต่ 250-251-252-253-254-255..........พูดง่ายๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอยู่ที่บ้าน ก็มีคะแนนจาก “ส.ว.” 250 คน ลอยเข้ามาอยู่ในสภาฯแล้ว
เป็น ส.ว.ลากตั้ง ที่มีแต่เพื่อนพ้อง น้องพี่ และเครือญาติเต็มไปหมด ดังนั้น ผลงานแรกที่ ส.ว.ลากตั้ง โชว์ให้ผู้ชมทางบ้านเห็นกับตา ด้วยบทบาทของ ส.ว.โหวตขานชื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีแตกแถวแม้แต่คนเดียว
พล.อ.ประยุทธ์จึงเชน คัมแบ็ค กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย เป็นสมัยที่ 2 หลังจากได้เป็นนายกฯสมัยแรกมาจากการทำรัฐประหารเมื่อเดือน พ.ค.57 แต่นายกฯ สมัยที่ 2 คงมาจากปัจจัยหลักที่ว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
นายกฯ สมัยที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคการเมืองเข้ามาร่วมมากถึง 27 พรรค มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีประเทศไทย ด้วยจำนวนเสียง ส.ส. 254 คน ส่วนพรรคฝ่ายค้าน 7 พรรค นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ มีจำนวนเสียง ส.ส. รวมกัน 246 คน
เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะห่างกันเพียง 8 เสียง แถมเวลาโหวตเรื่องอะไรก็ตามในสภาฯ เสียงฝ่ายรัฐบาลจะหายไปโดยอัตโนมัติ 3 เสียง (ประธานสภาฯ และรองฯอีก 2 คน)
พูดง่ายๆว่า บรรดาส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล จะลุก จะเดินไปกินข้าว เข้าห้องน้ำ ออกไปโทรศัพท์ หรือจะโดดร่มออกไปทำธุระส่วนตัวนอกสภาฯ ไม่สะดวกสบายเหมือนสภาฯ ชุดก่อนๆ เนื่องจากรัฐบาลอาจจะล้มตึงเอาง่ายๆ
นี่ยังไม่ทันตั้งคณะรัฐมนตรี ก็มีข่าวแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกรดเอ เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐจะขอเรียกคืนกระทรวงเกรดเอ เพื่อนำมาจัดสรรกันใหม่ โดยให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนสแกนคัดเลือกดูความเหมาะสม
โดยเฉพาะตัวบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีของแต่ละพรรค อาจจะต้องถึงขั้นได้ “ไฟเขียว” จาก พล.อ.ประยุทธ์
พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมากว่า 4 ปี ผลงานเป็นอย่างไรบ้าง ก็อย่างที่เห็นๆกันอยู่ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง
พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศมากว่า 4 ปี ขาดดุลงบประมาณมาอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นเม็ดเงินกว่า 2.19 ล้านล้านบาท การค้าขายฝืดเคือง ร้านรวงปิดตัวจำนวนมาก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทุกตัว จนกลายเป็นที่มาของการแจกบัตรคนจน 14.5 ล้านคน
วันก่อน น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ออกมาเปิดเผยว่าสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ฉุดตัวเลขส่งออกของไทยตกต่ำ จนสภาผู้ส่งออกฯ ปรับลดคาดการณ์ปีนี้เหลือโต 1% จากเดิมคาดว่าโต 3% ลดจากเดิมที่เคยคาดโต 5%
โดยการส่งออกเดือน เม.ย. 62 มีมูลค่า 18,555.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -2.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 20,012.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว -0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ ภาพรวมช่วงเดือน ม.ค.- เม.ย. ปี 62 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 80,543.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว -1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการนำเข้ามีมูลค่า 79,993.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว -1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สดๆ ร้อนเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.62 นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/62 ว่า ไตรมาส 4 ปี 61 หนี้สินครัวเรือนไทยเท่ากับ 12.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 78.6% ต่อจีดีพี ขณะที่หนี้สินครัวเรือนดังกล่าวเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน
เมื่อเทียบกับต่างประเทศ พบว่า ไทยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี อยู่ในอันดับที่ 10 จาก 89 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับที่ 3 จาก 29 ประเทศในเอเชีย
ส่วนไตรมาส 1 ปี 62 หนี้สินครัวเรือนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หนี้เสียไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 9% สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส
นักลงทุน นักธุรกิจ คนทำมาค้าขาย เห็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยดิ่งลงมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ถ้าไม่มีภาคการท่องเที่ยวช่วยพยุงไว้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงอะไรกัน
ยิ่งเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ชัดเจนเป็นทางการว่า “ประยุทธ์” เชน คัมแบ็ค! นักธุรกิจหลายคนบอกว่า “ตัวใคร ตัวมันล่ะคราวนี้” ที่สำคัญคือ “อย่าก่อหนี้”
โดย..เสือออนไลน์