เหลือบไปเห็นโฆษณาต้านบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าบนช่อง MONO29 มาจะขวบปีแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นสปอตโฆษณาที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ที่ทำการรณรงค์เรื่องของพิษภัยบุหรี่มานับทศวรรษแล้ว
"บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า มีอันตรายพอกัน เพราะต่างมีสารนิโคติน" กระชับสั้นๆ เหมือนครอบคลุมหมด ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นสปอตที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างและยังไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดกับประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะตัวองค์กร สสส. และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คุณหมอเองจะเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือไม่
ถ้าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายพอๆ กับบุหรี่ซิกกาแรตที่ว่า ทำไมประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 78-79 ประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ได้ขื่อว่าเป็นประเทศที่มี “สิงห์อมควัน” ในอันดีบต้นๆ ของโลก ถึงอนุญาตให้ขายได้ แถมยังสนับสนุนให้คนที่เลิกบุหรี่ไม่ได้ให้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน
จะว่าประเทศเหล่านั้นอยู่หลังเขา เข้าไม่ถึงข้อมูลอันตรายจากพิษภัยการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าก็ไม่น่าจะใช่ เราเองต่างหากที่ควรต้องกลับมาทบทวนมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายของตนเองว่า เรามาถูกทางแล้วหรือไม่ แต่ละปีที่กองทุน สสส. ทุ่มเทงบประมาณลงไปกับการรรณรงค์ต้านบุหรี่ปีละกว่า 3-4 พันล้านบาทนั้น ได้ลดจำนวนผู้สูบลงไปได้ตามเป้าหมายหรือไม่
เพราะเท่าที่ประจักษ์ ทุกวันนี้แม้แต่คุณหมอ หรือเยาวชนสิงห์อมควัน นักสูบหน้าใหม่ สามารถจะซื้อหาบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายยิ่งกว่าหาซื้อปลาทูเสียอีก เพราะไม่ต้องเดินเข้าไปหาใน 7-11 แค่สั่งออนไลน์ก็มี “ไรเดอร์” วิ่งปร๋อมาส่งให้ถึงบันได้บ้านแล้ว แถมไม่ต้องตรวจบัตรประชาชน ไม่ต้องสแกนนิ้ว ตรวจสอบว่าอายุถึงเกณฑ์หรือยังว่างั้นเถอะ!
ทุกวันนี้ สธ. และกองทุน สสส.รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยนั้น มีคนตายจากการสูบบุหรี่เฉลี่ยวันละ 191 คน ตกปีละ 70,000 คน หากเปรียบคนสูบบุหรี่เหล่านี้เป็นผู้โดยสารเครื่องบินระดับ “จัมโบ้ 747” ก็เท่ากับเรามีเครื่องบินจัมโบ้ตกปีละ 127 ลำเห็นจะได้ มากน้อยแค่ไหนก็ลองคิดดูเอา
เอาว่าแค่จัมโบ้ 747 ตกสักลำรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดิ้นจะเป็นจะตาย ตรวจสอบกันและหามาตรการป้องกันชนิดถึงพริกถึงขิงสุดๆ ในสามโลก แต่สิงห์อมควันตกตายปีละกว่า 127 ลำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สธ.- สสส.หรือรัฐบาลยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน มาตรการที่ใช้กันเป็นทศวรรษ ทำแล้วได้ผลมากน้อยแค่ไหน ปรับขึ้นภาษีเหล้า ภาษีบุหรี่มาแล้วกี่สิบกี่ร้อยครั้ง หากจำไม่ผิดน่าจะปรับกันขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 17-18 ครั้ง แต่ได้ผลหยุดยั้งการสูบบุหรี่ของผู้คนได้มากน้อยแค่ไหนไม่เคยมีหน่วยงานใดออกมาตั้งข่อสงสัยกันบ้างเลย
กองทุนสามล้อถูกหวย “สสส.” ก็เอาแต่เปรมปรีย์กับเงินกองทุนบาปที่รีดมาจากภาษีเหล้าาบุหรี่ปีละกว่า 3,000-4,000 ล้าน ถลุงกันมาเป็นสิบๆ ปีเข้าไปแล้ว โดยที่ยอดสูบบุหรี่ของผู้คนที่บอกจะไปรณรงค์งดเหล้างดบุหรี่มาเป็นสิบปีนั้น ก็ยังไม่ได้ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม เคยมีคนสูบอยู่ 9-10 ล้านคน หรือ 17-18% ของจำนวนประชากรเป็นมายังไง ผ่านมาเป็นทศวรรษ ก็ยังเห็นผู้คนสูบระดับนี้มาโดยตลอด เทียบไม่ได้เลยกับเม็ดเงินรณรงค์ที่ทุ่มเทลงไป
กับเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้านี้ก็เช่นกัน นับแต่ผู้ผลิตบุหรี่มีการผลิตบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกของสิงห์อมควันที่เลิกบุหรี่กันไม่ได้ จะได้ช่วยลดพิษภัยจากการสูบบุหรี่และโดยเฉพาะพิษภัยจากควันบุหรี่ที่เกิดจากการเผาไหม้ ที่นัยว่าจะทำให้เกิดสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เป็นสารก่อมะเร็งตามมาอีกนับร้อยชนิด ทำให้มีการคิดค้นบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นทางเลือกเพื่อลดการเผาไหม้ ลดการปล่อยสารเหล่านั้นลงไป บางรายนั้นถึงกับตีปี๊บโฆษณาเป็นทาวเลือกใหม่ เป็น “ผลิตภัณฑ์ไร้ควัน” ที่ให้แต่สารนิโคตินที่สิงห์อมควันต้องการเท่านั้น
แต่จนแล้วจนเล่าผ่านมากว่า 7-8 ปีเข้าไปแล้ว ที่รัฐบาลไทยยังคง ”ปิดประตูลั่นดาน” ไม่ยอมให้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไร้ควันหรือบุหรี่ไฟฟ้าที่ว่านี้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงตีปี๊บบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เป็นอันตรายพอกันเพราะมีสารนิโคติน ทั้งที่สารนิโคตินที่ว่านั้น ไม่ได้มีแต่จำเพาะอยู่ในบุหรี่เท่านั้น คนที่ต้องการสารนิโคตินก็ไม่ต่างไปจากคนที่ดื่มกาแฟที่ต้องการสารคาเฟอีน เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นตื่นจากหลับตื่นจากความเซื่องซึมทั้งหลายแหล่
7-8 ปีมาแล้วที่รัฐบาลและกระทรวง สธ. ยังคงตั้งแง่ขวางการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่สนโลกและไม่สนความเป็นจริงที่ว่า ทุกวันนี้มีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ามาจำหน่ายกันเกลื่อนเมืองไปแล้ว จนแทบจะเรียกได้ว่า ในหมู่สิงห์อมควันนั้น 2-3 ใน 10 คน มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ทดแทนกันไปแล้ว โดยที่ภาครัฐไม่เคยได้รับเม็ดเงินภาษีแม้แต่น้อย
และก็อย่างที่กล่าว 79 ประเทศ มีการอนุมัติให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ไปแล้ว แต่เมืองไทยเรานั้นก็ยังท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายพอๆ กัน ไม่ต่างไปจากที่ใครก็ไม่รู้สอดไส้บรรจุบทเรียนว่าด้วยผู้นำรัฐบาลที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จันรทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ยิ่งใหญ่ มีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และเสียสละ เทียบชั้นกับผู้นำของโลก
ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้น หนังคนละม้วน!!!
แก่ง หินเพิง