กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำลังหลอกลวงคนไทยเปิดเสรี เพื่อการแพทย์แน่หรือ???
สารหลักที่มีอยู่ในกัญชาที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังตีปี๊บเปิดเสรีอยู่ คือ “สารเมา THC” ที่มีฤทธิ์ทำให้เมา เคลิบเคลิ้ม เสพมากหลอน กัญชาสายพันธุ์ไทยที่ปลูกโดยทั่วไปอุดมไปด้วยสารเมาที่ว่านี้ แต่ที่วงการแพทย์ต้องการ นั่นคือ “สาร CBD” ที่มีประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการเครียด ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย ฯลฯ
เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นสุดฮอต เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์.. กับนโยบายเปิดเสรีกัญชา ปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ดีเดย์มาตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทำให้ทุกส่วนของ “กัญชา กัญชง” ไม่ว่าจะเป็นส่วนของลำต้น ราก ใบ ไปจนถึงช่อดอก และสารสกัดที่ไม่เกิน 0.2% เป็นสิ่งที่สามารถมีและใช้ประโยชน์ ซื้อขายกันได้โดยไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป
การปลูกในครัวเรือนสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย แต่ขอความร่วมมือให้ประชาชนที่ต้องการปลูกกัญชา กัญชง แจ้งข้อมูลผ่านแอพพลิเคชั่น “ปลูกกัญ” ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งก็ปรากฏว่าในระยะเวลา เพียง 1 สัปดาห์ ประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนแจ้งขอปลูกกัญชาในครัวเรือนทะลุ 1 ล้านคน กลายเป็นกระแส ”กัญชาฟีเวอร์” ไปแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ รมว.สธ. ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการเปิดเสรีกัญชา ได้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในสังคมไทยในทันที ทั้งกระแสตอบรับและเสียงสวดชยัญโตที่ประดังเข้ามาพร้อมกัน ผู้ค้ากัญชามีการโพสต์ประกาศขายเมล็ดและกล้าพันธุ์กัญชาบน FB และตลาดค้าออนไลน์กันเต็มพรืดทั่วประเทศ
ทั้งที่กฎหมายหลัก คือ “ร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ.....” ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ และยังไม่ได้ประกาศใช้บังคับแต่อย่างใด กลายเป็นว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชิงออกประกาศ สธ.ปลดล็อคกัญชาเสรีไปก่อนที่กฎหมายหลักที่จะมาใช้บังคับเสียอีก!
กลายเป็นความบุ่มบ่ามของรัฐบาล และ สธ. ที่มุ่งเอาแต่ Maximize Vote จนทำให้เกิดเป็น “สุญญากาศ” ทางกฎหมายขึ้นมา เพราะเท่ากับ สธ.ดำเนินการเปิดเสรีกัญชาไป ทั้งที่กฎหมายหลักที่จะมาควบคุมการใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้นโยบายเปิดเสรีที่ว่านี้ สธ.กลับไม่เคยให้ความรู้แก่ประชาชนคนไทยเลยว่า กัญชา กัญชง ที่ประชาชนคนไทยกำลังตีปี๊บปลูกกันอย่างบ้าระห่ำ ปลูกและซื้อขายกันอย่างคึกคัก หวังจะเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับเศรษฐกิจรากหญ้านั้นมันคือกัญชาเพื่อการเสพ และสันทนาการเป็นหลัก เป็น “หนังคนละม้วน” กับกัญชาที่ใช้ในวงการแพทย์ ที่เป็นเป้าหมายของนโยบายเปิดเสรีกัญชาที่ สธ. ตีปี๊บก่อนหน้า
รู้จักสาร THC-CBD ในกัญชา
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทย เปิดเผยว่า กลุ่มสารหลัก Cannabinoid ที่อยู่ในกัญชานั้นมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ Tetrahydrocannabinol : THC ที่มีฤทธิทำให้เมา เคลิ้ม ผ่อนคลาย บรรเทาอาการเจ็บปวด คลื่นใส้อาเจียน เสพมากหลอน กับสาร Cannabidiol : CBD ซึ่งออกฤทธิ์ตรงกันข้ามกับ THC และนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อย่างหลากหลาย ลดอาการอักเสบ ชักเกร็ง ช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก ไม่เป็นสารเสพติด
ทั้งนี้ กัญชาสายพันธุ์ไทยโดยทั่วไปไม่ว่าจะ “หางกระรอกภูพาน” อิสระ 01 หรือสายพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไปนั้น ล้วนอุดมไปด้วยสารเมา THC เป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีสาร CBD ที่ว่านี้ ส่วนกัญชาที่มีสาร CBD สูงนั้น ต้องเป็น "ระบบปิด" ที่มีการควบคุมกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวดจึงจะมีสาร CBD สูง
ด้วยเหตุนี้ กัญชาที่ สธ.ตีปี๊บ แจกกล้าพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมผู้คนปลูกกันทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยข้ออ้างจะได้นำมาใช้ในครัวเรือน และประโยชน์ทางการแพทย์ รักษาตัวเองอะไรนั้น มันจึงเป็นเพียงกัญชาเพื่อการเสพและสันทนาการเป็นหลัก การจะนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จำเป็นจะต้องรู้จักวิธีการใช้อย่างถูกวิธีเท่านั้น หาไม่จะกลายเป็นยาเสพติดที่มีพิษร้ายยิ่งกว่าบุหรี่ที่รัฐบาล และ สธ. ยังคงมีกฎหมายควบคุมเสียอีก
“เราไม่ได้ปลูกกัญชาเพื่อการแพทย์หรือการรักษา แต่กำลังปลูกกัญชาเพื่อสันทนาการ กำลังจะเป็นดินแดน "ขุนส่า-สาละวิน2" หรือไม่”
สธ.พล่านทำคลอดมาตรการควบคุม
ประกาศปลดล็อคกัญชาเสรีที่ สธ.ลักไก่ออกมาก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ.... หรือกัญชาเพื่อการแพทย์ที่ถือเป็นกฎหมายหลักที่จะรองรับนโยบายกัญชาเสรี และการใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์นั้น มี “ช่องโหว่” และก่อให้เกิด “สุญญากาศ” ทางกฎหมายอย่างไร ทั้ง รมต.สธ. และผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงต่างรู้แก่ใจดี
เพราะการที่จู่ ๆ กัญชาได้กลายมาเป็นสินค้าที่ไร้กฎหมายควบคุมขึ้นมาในทันที ได้ทำเอาผู้คนในสังคมเกิดความสับสน เพราะทุกฝ่ายต่างรู้ถึงพิษร้ายของกัญชาหากใช้โดยไม่มีความรู้ หรือใช้ในทางที่ผิดจะก่อให้เกิดโทษมหันต์ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คในวงกว้าง แต่ผลพวงจากการปลดล็อคออกมาอย่างไม่มีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลนั้น ทำให้มีการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ และผลิตภัณฑ์กัญชากันเกลื่อนเมือง
เอาเป็นว่า ต่อให้ขายบ้องกัญชา หรือสูบกัญชากันอย่างเอิกเกริก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่รู้จะดำเนินคดีข้อหาใด ในเมื่อ กม. หลักที่จะควบคุมการใช้และการซื้อขายยังไม่มี การปลูก ผลิต ครอบครอง แปรรูปและซื้อ-ขาย ทำได้โดยเสรีไปแล้ว หรือหากจะมีขบวนการลักลอบขนกัญชากันเป็นคันรถ ก็ไม่รู้ว่าจะเอากฎหมายใดไปจับ
ทำเอาผู้คนในสังคมลุกขึ้นมาสวดชยัญโตรัฐบาล และ สธ. กระหึ่มเมือง เพราะนี่ไม่ใช่การเปิดเสรีกัญขาเพื่อการแพทย์ การรักษาอย่างที่ทุกฝ่ายเพรียกหา แต่เรากำลังจะทำให้เมืองไทยเป็นแดนสนธยาเป็น “ขุนส่า-2” แหล่งผลิตและส่งออกกัญชาของโลกอย่างที่ไม่มีขาติใดทำมาก่อน
แม้กระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์ว่า ไม่ได้ต้องการให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ แต่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาตัวเองเป็นหลัก แต่ในเมื่อรัฐ และ สธ. ถลำลึกเปิดเสรีกัญชาออกไปโดยที่ยังไม่มีกฎหมายหลักรองรับ มันจึงกลายเป็น “สุญญากาศ” ของกฎหมายไปโดยปริยาย
“จะมาตีฝีปากอ้างว่า ประเทศในยุโรป เยอรมัน อเมริกาบางมลรัฐ เขาก็เปิดเสรีแล้วไม่ได้เลย เพราะการเปิดเสรีของประเทศเหล่านั้น ยังคงมีข้อห้าม และมาตการควบคุมสารพัด ใช่ว่าร้านรวงที่ไหนจะซื้อ-ขายกันได้เสรีอย่างที่เข้าใจกัน ทุกอย่างต้องมีการขึ้นทะเบียน ร้านรวงที่จะจัดหน่ายต้องมี License ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ใช่เปิดร้านขายก๋วยเตี่ยว ขายข้าวมันไก่ หรือร้านชำที่ใครนึกจะขายพ่วงกัญชา ผสมกัญชาลงไปในอาหาร เครื่องดื่มอย่างไรก็ทำได้ หรือนึกจะตั้งร้านขายก็ทำได้อย่างที่รัฐบาล และ สธ. ดำเนินการไป”
หลังจากผู้คนในสังคม เครือข่ายในภาคประชาชนและนักวิชาการ และโดยเฉพาะบุคคลากรทางการแพทย์ที่ดาหน้าออกมาถล่มนโยบายปลดล็อคเปิดเสรีกัญชาของ รมว.สธ. และสะท้อนผลกระทบจากความหุนหันพลันแล่นของ รมต.สธ. ที่ด่วนออกประกาศเปิดเสรีกัญชา โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบอย่างรุนแรงที่จะมีตามมา
ก็ทำเอาหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย ต่างนั่งไม่ติดต้องชิงออกประกาศ “เขตปลอดกัญชา” ห้ามนักเรียน นักศึกษาพกพากัญชาเข้ามาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษากันอย่างเร่งด่วน ก่อนจะเกิดความโกลาหลในสถาบันการศึกษาขึ้นมา
เพราะหากเด็กนักเรียน นักศึกษา จะพกกัญชาและบ้องกัญชาไปโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย จะหอบหิ้วบ้องกัญชาเข้าไปดูดไปสูบในสถานศึกษาหรือมหาวิทยาลัยก็ทำได้โดยเสรีไม่ผิดกฎหมายระเบียบใด ๆ ว่างั้นเถอะ ไม่ต้องแอบพกบุหรี่ แอบสูบุหรี่ในห้องน้ำกันแล้ว จะพี้กันจะๆ ยังไงก็ทำได้เลยว่างั้นเถอะ
ท้ายที่สุด “หมอหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกุล” ถึงต้องวิ่งพล่านควานหามาตรการควบคุมกัญชาเสรีที่ออกไปก่อนหน้า ก่อนที่ รมว.สธ. จะออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ 2565 ให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่ห้ามจำหน่าย แก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี รวมทั้งสตรีมีครรภ์ทั้งหลาย อันเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหลังจาก “ถลำลึก” เปิดเสรีกันไปก่อนหน้า
สะท้อนให้เห็นถึงความหุนหันพลันแล่นของ สธ. ที่มุ่งแต่ Maximize Vote มากกว่าจะคำนึงถึงผลกระทบของสังคมในวงกว้าง จนทำให้นโยบายเปิดเสรีกัญชา กลายเป็น “ดาบ 2 คม” ที่กำลังจะลากประเทศไทยไปสู่ดินแดนแห่งโลกีย์ที่มีการเสพกัญชากันกระหึ่มเมือง จริงไม่จริง!!!!
แก่งหิน เพิง