วันก่อน “แก่ง หินเพิง” มีโอกาสไปร่วมเสวนาเรื่อง “เจาะรายงานเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ 60 กมธ. ..คุ้มค่าจริงหรือ?” ที่มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) และโครงการเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม จัดขึ้นโดยมีตัวแทนเครือข่ายหยุดการพนัน เครือข่ายภาคประชาชน และอีกหลายภาคส่วนเข้าร่วม
คุณธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน เป็นคนแรกที่ถ่ายทอดข้อมูลที่ได้จากรายงานผลการศึกษารายงานของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งมีการตั้งอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาขึ้นมาอีก 4 คณะ มาพิจารณาศึกษาด้านกฎหมาย การจัดเก็บรายได้และภาษี , การป้องกันแก้ไขปัญหาผลกระทบและพื้นที่ความเป็นไปได้ และหลักเกณฑ์เงื่อนไขการเปิด , การลงทุนและรูปแบบการเปิด และรูปแบบธุรกิจ ที่มีกรรมาธิการถึง 60 คนนำเสนอ
ความสำคัญของสิ่งที่กรรมาธิการเสนอนั้น แม้จะอ้างว่า หมายถึงอาคารขนาดใหญ่หรือกลุ่มอาคาร ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างๆ สำหรับทำกิจกรรมเพื่อความบันเทิง ความเพลิดเพลิน เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามกีฬา หอประชุมสพกรับจัดงานแสดงต่างๆ แต่เนื้อแท้ก็คือ ความพยายามครั้งใหม่ของประเทศไทยที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาต โดยมีกาสิโนถูกกฎหมายอยู่ในโครงการร้อยละ 5
โดยมีข้อสังเกต 4 ประเด็น คือ 1. มีการตั้งธงที่จะเปิดกาสิโน เพราะชื่อของคณะกรรมาธิการศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ก็ชัดเจนในเจตนาอยู่แล้ว ไม่ใช่ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ดูได้จากรายงานกว่า 90% นั้น เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปิดกาสิโน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พูดถึงเอ็นเตอเทนเมนต์ คอมเพล็กซ์
2. เป็นเรื่องอันตราย เพราะได้เสนอชัดเจนให้รัฐบาลหารายได้จากการทำให้พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ทั้งที่ประเทศส่วนใหญ่ที่ให้การพนันถูกกฎหมาย จะไม่อนุญาตให้มีการพนันออนไลน์เกิดขึ้น มีเพียงฟิลิปปินส์ประเทศเดียวเท่านั้นซึ่งถูกประเทศจีนกดดันให้ต้องเปิดเว็บพนันออนไลน์
3. เป็นการปลดล็อค เปิดเสรีคาสิโนหรือไม่ เพราะข้อเสนอของกรรมาธิการมีข้อน่าสงสัยว่า จะนำไปสู่การปลดล็อคให้สามารถตั้งกาสิโนได้เสรี มีบางข้อที่กล่าวถึงการลงทุนกาสิโนขนาดกลาง และขนาดเล็ก ที่ใช้เงินไม่มากเท่าขนาดใหญ่ให้ตั้งได้ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ และ 4. คือดูเบาในเรื่องผลกระทบ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนในการทำงานมาตั้งแต่ต้นที่ตั้งอนุกรรมาธิการแค่ 4 คณะ ไม่มีคณะที่ศึกษาผลกระทบทางสังคม โดยภาพรวมรายงานนี้เป็นการศึกษาเพียงด้านเดียวที่จะเปิดให้ได้ตามธงที่ตั้งไว้
ขณะที่ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ อดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกากล่าวว่า การคิดจะให้มี Entertainment Complex และการเปิดเสรีการพนันจำเป็นต้องหารือกันอีกมาก จะต้องถ่วงดุลให้ดีระหว่างเศรษฐกิจกับผลกระทบต่อสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาครอบครัว ส่วนการบริหารจัดการก็จะเป็นปัญหาเพราะการพนันเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม การฟอกเงิน เนื่องจากพวกทุจริตติดสินบนส่วนใหญ่จะแปลงเงินเข้าไปให้รับรองว่าได้มาจากการพนัน
ส่วน นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย แสดงความเห็นว่าเป็นโอกาส ที่ดีที่มีการศึกษาเรื่องนี้ เพราะจะช่วยให้ประเทศไทยเข้าใจถึงผลดี ผลเสีย และความพร้อมที่จะจัดตั้งว่า เหมาะสมหรือไม่จากทุกภาคส่วน มีหลายฝ่ายที่เห็นว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ภาษีที่จัดเก็บได้รัฐสามารถนำไปช่วยคนชรา ไปสนับสนุนด้านสาธารณสุข ก็ถือเป็นหลักการที่ดี
แต่มีคำถามที่สำคัญ คือ ความมั่งคั่งดังกล่าว จะไปถึงประชาชนได้จริงหรือไม่ และที่บอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั้นดีขึ้นสำหรับใคร หรือดีเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น นี่คือคำถามที่ต้องตอบให้ได้ เพราะมีผลการศึกษาชัดเจนจากหลายประเทศว่าจัดเก็บภาษีได้แค่ 0.4-0.5% เท่านั้น ส่วนรายได้จากการจ้างงานก็จะตกเป็นของแรงงานต่างด้าว เช่น ฟิลิปปินส์ และเมียนมาร์ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนไทย
ส.ส.ปชป. ยังกล่าวด้วยว่า จากการศึกษาข้อมูลในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ชี้ไปในทางเดียวกันว่าการนำการพนันใต้ดินมาอยู่บนดินนั้น ไม่ทำให้การพนันใต้ดินหมดไป เพราะการพนันใต้ดินก็ยังอยู่ แต่อาจลดลงบ้าง และกลายเป็นว่าการพนันบนดินจะเป็นคนกลุ่มใหม่ที่มาเล่น จึงอยากให้ตั้งโจทย์ให้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อรายงานฉบับนี้เข้าสภา ผมจะอภิปรายคัดค้านอย่างแน่นอน
ฟังเสียงสะท้อนของมทุกภาคส่วนแล้วก็น่าคิด เพราะความพยายามในการเปิดเสรี เปิดบ่อนกาสิโนหรือกาสิโนออนไลน์อะไรนั้นมีมานานแล้ว และพยายามในทุกวิถีทางที่จะแปรเปลี่ยนเสียบเข้ามาในรูปแบบต่างๆ เปลี่ยนชื่อเรียกไปตามกาลเวลาแล้วแต่จะเจาะช่องเข้ามาได้ แต่หลักๆ ก็คือจะทำให้บ่อนพนันเกิดขึ้นให้ได้ในประเทศว่างั้นเถอะ แล้วทุกครั้งก็มักหยิบยกตัวอย่างเพื่อนบ้านโดยรอบที่เปิดบ่อนกาสิโนกันไปหมดแล้ว รวมทั้งสิงคโปร์เอง นักพนันบ้านเราจะข้ามไปเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมจะต้องดรามาห้ามกันด้วย
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเราคงต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ก่อนว่า ประเทศที่เราหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้น เขามีระบบกำกับดูแลและควบคุมกาสิโนหรือพนันออนไลน์กันอย่างไร หากจะเปิดในบ้านเราแล้วเราทำได้อย่างเขาไหม เรามีหลักประกันอะไรที่จะบอกได้ว่าหากดึงเอากาสิโนขึ้นมาบนดินแล้ว เราจะสามารถควบคุม กำกับดูแล และจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็ก เยาวชน หรือผู้คนโดยทั่วไปตกเป็นเหยื่อ มีอะไรบ้างที่จะเป็นหลักประกันที่ว่านั้น
และก่อนจะไปถึงจุดนั้นลองพิจารณานโยบายยกระดับ จัดระเบียบอะไรทั้งหลายแหล่ของไทยเราอย่างจัดระเบียบเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้ อย่าง พิโกไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซ์ ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ดึงเจ้าแม่เงินกู้ทั้งหลายเข้าสู่ระบบนั้น ผ่านมาวันนี้กว่า 4-5 ปีแล้ว รัฐควบคุมได้ไหม บรรดาเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบทั้งหลายแหล่หมดไปจากสารระบบหรือยัง?
หรือบรรดาผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบ อบ นวดทั้งหลายแหล่ที่มีการควบคุม ออกใบอนุญาตกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายมานับทศวรรษแล้ว หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตและกำกับดูแลสามารถควบคุมดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายได้หรือยัง กรณีซานติก้า ผับ พระราม 9 เมื่อ 5-6 ปีก่อน และล่าสุดกรณี Mountain B ที่สัตหีบนั้นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีได้ หรือกรณียิงกันสนั่นนับ 100 นัด ที่ลานสถานบันเทิงที่อุบลราชธานีนั้น เป็นคำตอบได้ดีว่าการควบคุมดูแลและกำกับดูแลธุรกิจสรีเทาเหล่านี้ของไทยเป็นอย่างไร?
เปิดบ่อนกาสิโน หรือจะเรียกชื่อใหม่ “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” อะไรก็ตามแต่ สุดท้ายก็แปะเอี่ยหวังจะสอดไส้เปิดเสรีกาสิโน มันก็หนังม้วนเก่าที่นักการเมืองและธุรกิจสีเทาทั้งหลายกระหายจะให้เกิดขึ้นในบ้านเรา จะได้เอาไว้เป็นฐานการเมือง หรือฐานฟอกเงินของตนเองเท่านั้น
ไอ้ที่ฝันจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างเงิน สร้างงานทำรายได้เข้าประเทศเป็นหมื่นเป็นแสนล้านนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เดินเข้าสู่ระบบได้อย่างที่ทุกฝ่ายคาดหวังไว้แน่ ใครมันจะอยากเดินเข้าสู่ระบบเพื่อจะได้ถูกรีดภาษีกันให้โง่?
แก่งหิน เพิง