ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่สื่อตีแผ่ออกมาหรือไม่?
กับเรื่องที่มีข่าวสะพัดว่า ผู้ว่าฯ กทม. “นายชัชชาติ สิทธิพันธ์” มีคำสั่งเป็นนโยบายลงไปยังฝ่ายบริหาร กทม. ว่า จากนี้ไป กทม. จะหันไป “โฟกัส” การดำเนินนโยบายที่เป็นเส้นเลือดฝอยเป็นหลัก บรรดาโครงการขนาดใหญ่โครงการเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหลายแหล่ ที่ต้องใช้งบลงทุนสูงขอให้ชะลอออกไปก่อน
ทำเอาโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว “โมโนเรล” สายสีเทา ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ-พระราม 3 เฟสแรก ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ที่มีมูลค่าลงทุนราว 27,000 ล้าน ที่ กทม. ซุ่มดำเนินการศึกษาเอาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ เตรียมเสนอให้ผู้ว่าฯ กทม. โม่แป้งในช่วงปี 2566-68 นี้ อาจต้องเก็บพับเอาไว้ก่อน หรือไม่ก็อาจต้องโอนไปให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และรัฐบาลโม่แป้งเอง จะได้ไม่เกิดปัญหาแบบรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก
ทำเอาฝ่ายบริหาร กทม. ได้แต่อึดอัดหาวเรอไปตามๆ กัน ไม่คิดว่าผู้ว่าฯ กทม. ที่แกร่งที่สุดในสามโลก เป็นความหวังของประชาชนคนกรุงร่วม 10 ล้าน จะมีความคิดอ่านเยี่ยงนี้ได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่วันวานเมื่อทุกฝ่ายได้เห็นจดหมายรักที่ผู้ว่าฯ กทม. ตอบกลับไปยัง ”บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา” กรณีที่กระทรวงมหาดไทย ขอทราบจุดยืนนโยบายในเรื่องการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กทม. เคยขอให้กระทรวงมหาดไทยนำร่างแก้ไขสัญญาสัมปทานที่คณะทำงานเจรจาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ได้เจรจากับบริษัทระบบขนส่งมวงชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี (BTSC) เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะต่อขยายสัญญาสัมปทานออกไปอีก 30 ปี จนถึงปี 2602 แลกกับการให้เอกชนรับภาระหนี้ระบบรถไฟฟ้า และหนี้ค่าจ้างเดินรถที่เวลานี้ทะลักไปกว่า 40,000 ล้านแล้ว จะได้ยุติปัญหากลัดหนองทั้งมวลของ กทม. ลงได้
แต่เนื้อหาที่ผู้ว่าฯ กทม. ตอบกลับไปยัง มท.1 ล่าสุดนั้น จะนำพาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกจาก “ปลักควาย” และปมเขื่องที่ กทม. กำลังเผชิญอยู่ได้หรือไม่ ผู้ใกล้ชิด “บิ๊กป๊อก” กระซิบให้ฟังว่า ตอนนี้ “บิ๊กป๊อก” กำลังกุมขมับซัดยานอนหลับไปหลายกำมือแล้ว ก็ยังไขคำตอบของผู้ว่าฯ ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฏพีไม่ได้เลย
เพราะไม่รู้ว่าพี่แกตอบอะไรมา (สามวาสองศอกกับห้าเชี่ยะ) !
เอาเป็นว่า โดยสรุปเรื่องปัญหาหนี้ค้างที่ กทม. มีอยู่กับบริษัทเอกชนคู่สัญญานั้น ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ปัญหาหนี้ค้างชำระค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงที่ BTS ยื่นฟ้อง กทม. และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ร่วมกันชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 วงเงินรวมกว่า 23,504 ล้านบาทนั้น กรุงเทพมหานครได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองกลาง เพราะไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษา โดยระบุว่า กทม.จะชำระเฉพาะเงินต้นส่วนต่อขยายที่ 1 ให้เท่านั้น เพราะสัญญาที่ กทม. มีอยู่กับบริษัทกรุงเทพธนาคม ไม่มีการกำหนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ กทม. จึงไม่ต้องรับผิดชอบส่วนนี้ ประกอบกับโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 กทม. ได้จัดทำโครงการขอใช้งบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากสภา กทม. ไปแล้ว และ BTSC ได้รับทราบมาตั้งแต่ต้นว่า บริษัทกรุงเทพธนาคม จะเป็นผู้จ่ายส่วนต่างค่าจ้างเดินรถที่ค้างจ่ายอยู่ทั้งหมด
ส่วนค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 2 นั้น กทม. ไม่ขอรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้มีการปฏิบัติตามกระบวนการ และขั้นตอนการขอใช้งบประมาณตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร การมอบหมายให้บริษัทกรุงเทพธนาคมเป็นผู้บริหารการเดินรถ ยังไม่มีการจัดทำเป็นโครงการขอความเห็นชอบจากสภา กทม. ดังนั้นภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น กทม. จึงไม่ต้องรับผิดชอบ
ก็ไม่รู้ท่านผู้ว่าฯ กทม. เข้าใจอะไรผิดหรือไม่ เพราะสัญญาระหว่าง กทม. และบริษัทกรุงเทพธนาคม วิสาหกิจของ กทม. เองนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร กทม.ในฐานะเจ้าของก็ต้องผิดชอบอยู่ดี จะมอบหมายด้วยวาจา หรือมีลายลักษณ์อักษรกันมาหรือไม่อย่างไรนั้น ในแง่ของบริษัทเอกชนคู่สัญญาจะไปรู้เรื่องภายในระหว่าง กทม. และกรุงเทพธนาคมได้อย่างไร?
ที่สำคัญ ท่านผู้ว่าฯ ได้อ่านคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2562 ลงวันที่ 11 เม.ย.62 หรือยังว่า ขอบเขตของสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 นั้น ในคำสั่งหัวหน้า คสช. ได้เขียนเอาไว้อย่างครอบคลุมชัดเจนมาตั้งแต่ต้นไปแล้วว่า ให้ กทม. ต้องไปว่าจ้างเอกชนเดินรถกันอย่างไรนั้น จะโบ้ยว่ารับรู้ “ไม่รุ ไม่รุ” อย่างที่ท่านผู้ว่าฯ กำลังตีมึนอยู่นี้ได้หรือ?
ที่ทำเอา “อึ้งกิมกี่” หนักขึ้นไปอีก ก็คือ ในท้ายหนังสือตอบกลับของผู้ว่าฯ กทม. ยังได้กล่าวถึงจุดยืนของตนต่อการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่า 1. กทม. ต้องการให้รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและงานติดตั้งระบบการเดินรถ เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ที่รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้ค่าโดยสารอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
2. กทม. เห็นว่าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวควรดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ปี 2562 เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในโครงการมีความรอบคอบ ตรวจสอบได้ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างแท้จริง และ 3. กรณีที่คณะกรรมการเจรจาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ได้เจรจาที่จะให้บริษัทเอกชนแบกรับภาระส่วนต่างค่าจ้างเดินรถที่ค้างจ่ายอยู่ทั้งหมด กทม. จึงยุติการจ่ายชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงมาตั้งแต่กลางปี 62 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้วนั้น ก่อให้เกิดภาระต่อเอกชน รวมถึงมีภาระดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นกับ กทม. ในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะได้ร่วมหาทางออก
ก็ไม่รู้ท่านผู้ว่าฯ ที่แข็งแกร่งที่สุดในสามโลกได้เคยติดตามการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม. ที่ท่านเองเคยกำกับดูแลตอนเป็น รมว.คมนาคม บ้างไหมว่า หลังจากพ้นมือของท่านไปแล้วมัน ”Smoot as Silk และชิวๆ ดั่งที่ท่านกำลังวาดฝันไว้นี้ไหม” ขอโทษ! หนังคนละม้วนกันเลยฯลฯ
ท่านผู้ว่าฯ ไม่รู้เลยหรือว่า การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่อ้างว่าทำตามกรอบ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ ปี 62 หรือ “พ.ร.บ.พีพีพี” นั้น มันดุเดือดเลือดพล่านกันขนาดไหน มีการร้องแรกแหกกระเชอถึงขึ้นโรงขึ้นศาล และยื่นฟ้องร้องอิรุงตุงนังกันไม่รู้กี่ครั้งกี่หน โครงการที่ควรจะประมูลแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปีมะโว้ จนป่านนี้ก็ยังวนในอ่างไม่ไปไหน ไอ้ที่ว่า หากนำโครงการไปดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.พีพีพีแล้ว จะเป็นหลักประกันในการดำเนินโครงการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้นั้น ในข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ท่านไม่เคยลืมตาไปดูโลกหรือ ขนาดตัวเลขาธิการ “องค์การค้านโกง” ยังออกมาป่าวประกาศโครม ๆ เรียกร้องให้รัฐและหน่วยงานตรวจสอบทั้งหลายช่วยกันลงมาตรวจสอบปมส่วนต่าง 68,000 ล้านบาท ของโครงการนี้กันอยู่เลย
ท่านผู้ว่าฯ ไม่เคยรู้เรื่องเลยหรืออย่างไร ถึงหลับหูหลับตาบอกมาได้ว่า ให้เอาโครงการนี้กลับไปนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ต้น และถึงขนาดจะไปขอให้รัฐช่วยสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และระบบรถไฟฟ้าแบบเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นๆ สายไหนหรือที่รัฐให้การสนับสนุนขนาดนั้นน่ะ เขามีแต่สนับสนุนการก่อสร้างระบบงานโยธาให้เท่านั้น ส่วนระบบรถไฟฟ้านั้นจะให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุน หรือไม่หน่วยงานเจ้าของโครงการก็ต้องลงทุนลงแรงเองทั้งนั้น
อ่านแล้วก็ไม่แน่ใจนี่ใช่ “ชช-ชัชชาติ สิทธิพันธ์” ผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้ชื่อว่าแกร่งที่สุดในสามโลกจริงไหม ใช่อดีต รมต.คมนาคม ที่กำกับดูแลการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดูแลระบบขนส่งมวลนในระดับประเทศมาแน่หรือ? คนเดียวกันแน่หรือ? ถึงได้นำเสนออะไรที่มันผิดเพี้ยนไม่เอาอ่าวได้ขนาดนี้
เล่นตอบแบบกำปั้นทุบดินอย่างนี้แล้วจะให้ “บิ๊กป๊อก” นำไปรายงาน ครม. กันอย่างไร ในเมื่อคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2562 ที่ยังค้ำคออยู่ได้วางไลน์เอาไว้ชัดอย่างชัดเจน ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้ต่อ ครม. และหาก กทม. และกระทรวงกระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถหาข้อยุติในการดำเนินการตามข้อ 3 ได้ ก็ให้รายงานผลการดำเนินงานและนำเสนอหนทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ก็คงต้องเตือนสติไปยังผู้ว่าฯ ที่แกร่งที่สุดในสามโลก หากปัญหากลัดหนองของคนกรุงอย่างรถติดวินาศสันตะโร ปัญหาระบบขนส่งมวลชนที่มันยุ่งขิงเป็นยุงตีกัน และปัญหาน้ำท่วมกรุงรอระบายกันข้ามวันข้ามคืน ยังไม่ใช่ภารกิจหลักของผู้ว่าฯ กทม. ปัญหาใหญ่ๆ อย่างรถไฟฟ้าก็ไม่เอา จะหันไปเอาดีแต่การจ๊อกกิ้ง -วิ่งเซลฟี และเปิดแพรคลุมป้ายงานดนตรีในสวนกันอย่างเดียวแล้ว
ก็ไม่รู้คนกรุงต้องการผู้ว่าฯ “ซังกะบ๊วย” แบบนี้ และคิดอ่านได้แค่นี้ไปเพื่ออะไร !!!
แก่งหิน เพิง