ได้รับฟ้องถ้อยแถลงของ นายรณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี พร้อม นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อ 20 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากทางจังหวัดร่วมกับสำนักงานพลังงานปรมณูเพื่อสันติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ ร่วมกัน “ควานหา” แท่งกัมมันตรังสี “ซีเซียม-137(Cesium-137)” ที่อันตรธานไปจากโรงไฟฟ้าพลังงานไอน้ำ เนชั่นแนล เพาเวอร์ แพลนท์ 5 ตำบลท่าตูม ที่อำเภอศรีมหาโพธิ์
ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะตรวจพบเบาะแสอยู่ในโรงงานหลอมเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่นำเครื่องมือเข้าทำการตรวจสอบกองเศษเหล็กที่ถูกบีบอัดมาออกมาจากเตาหลอม ก็พบสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า มีสารกัมมนตรังสีปะปนอยู่
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมณูเพื่อสันติจะนำเครื่องมือเข้าทำการตรวจสอบอย่างละเอียด และพบเพียงตะกอนฝุ่นสีแดงจากเตาหลอมที่บ่งบอกให้เห็นว่า มีสารกัมมันตรังสี “ซีเซียม-137” ปะปนอยู่ อันแสดงให้เห็นว่า แท่งกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ได้ถูกหลอมไปหมดแล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสั่งปิดพื้นที่ พร้อมสั่งให้พนักงานในโรงงานหลอมเหล็กจำนวน 70 คน ให้หยุดปฏิบัติงาน ก่อนส่งตัวไปเช็กสุขภาพรวมถึงการเจาะตรวจเลือดอย่างละเอียด
ขณะที่ นายกิตติ์กวิน อรามรุญ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ 1 ในทีมที่ลงพื้นที่ตรวจสอบซีเซียม-137 ระบุว่า ทีมจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้ใช้เครื่องมือในการวัดการแผ่รังสี และตรวจพบการปนเปื้อนของซีเซียม-137 ในฝุ่นโลหะที่ได้จากการผลิตโลหะและเตาหลอมอย่างชัดเจน แต่ในส่วนของการใช้เครื่องมือตรวจโดยรอบโรงงาน ในรัศมีที่ครอบคลุม 5 กิโลเมตร รวมทั้งเก็บตัวอย่างดิน น้ำ อากาศไปตรวจสอบนั้น ในขณะนี้ยังไม่พบ การฟุ้งกระจาย และไม่พบการเปรอะเปื้อนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
“ยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน เราได้ควบคุมสถานการณ์และจำกัดการเปรอะเปื้อน การปนเปื้อนของซีเซียม-137 อยู่ในเฉพาะพื้นที่ของตัวฝุ่นโลหะ หรือฝุ่นแดงที่ปนเปื้อนซีเซียมเท่านั้น ไม่มีการฟุ้งกระจายสู่สิ่งแวดล้อม ประชาชนรอบพื้นที่โรงงาน ในอำเภอศรีมหาโพธิ์ อำเภอกบินทร์บุรี และจังหวัดปราจีนบุรี ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด”
ฟังสิ่งที่ผู้ว่าฯ ปราจีน และผู้เกี่ยวข้องแถลงกรณีแท่งกัมมันตรังสีซีเซียม -137 ข้างต้น ที่แทบจะเป็นเรื่องของเศษเหล็กชิ้นหนึ่งที่บังเอิญหายไปจากโรงงานเท่านั้น ไม่น่ากังวล เจ้าหน้าที่สำนักงานพลังงานปรมณูเพื่อสันตินำเครื่องมือเข้าไปทำการสแกนแล้ว ตรวจสอบแล้ว โอเคปลอดภัย ควบคุมได้แล้วไม่น่ากังวล จบข่าว!
อะไรมันจะ “ชิว” ซะขนาดนี้!
กรณีโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล (Chernobyl) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของสหภาพโซเซียต ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเคียฟ (ปัจจุบันคือยูเครน) เกิดระเบิดขึ้นเมื่อปี 1986 หรือเมื่อกว่า 37 ปีก่อนนั้น ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
โดยผลจากการระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 31 ราย เกิด “ขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี” พวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ จนทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,431 คน ออกจากพื้นที่อย่างโกลาหล และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาอีกนับทศวรรษ โดยมีการประมาณการว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีสูงถึง 4,000 คน
ขณะที่ในประเทศไทย ก็เคยเกิดกรณีที่คนงานร้านรับซื้อของเก่าที่รับซื้อส่วนหัวของเครื่องฉายรังสี “#โคบอลด์-60” ที่ใช้ในวงการแพทย์ ที่ถูกขโมยออกมาจากโรงงานร้างในย่านอ่อนนุช เมื่อปี 2543 ก่อนที่คนงานจะทำการตัดแยกชิ้นส่วนเพื่อนำไปขายเป็นเศษเหล็ก ทำให้สารกัมมันตรังสีแพร่กระจายเป็นวงกว้าง มีผู้เสียชีวิตจากการสัมผัสสารกัมมนตรังสีดังกล่าวหลัง 2 เดือนให้หลังไปจำนวน 3 ราย และอีกเกือบ 1,000 คน ต้องเผชิญกับอาการป่วยตามมาอีกนับสิบปี
หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานพลังงาทนปรมณูเพื่อสันติ มีการวางกฏเกณธ์ในการใช้และเก็บรักษา รวมถึงขบวนการจัดเก็บรักษาสารกัมมันตรังสีที่ว่านี้เอาไว้อย่างเข็มงวด เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อีก
แต่เหตุการณ์ที่ “แท่งซีเซียม-137” ที่เป็นส่วนสำคัญของโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเกิดขึ้น เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความ “ชุ่ย” ความบกพร่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี
แท่งกัมมันตรังสี “#ซีเซียม-137” ที่มีน้ำหนักกว่า 25 กิโล ที่คนธรรมดาโดยทั่วไปคงยากจะแบกขึ้นบ่าเอาออกไปจากโรงงานได้ แต่กลับอันตรธานหายออกไปจากโรงไฟฟ้าได้ โดยที่จับมือใครดมไม่ได้ แถมยังช่วยการปกปิดเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเอาไว้นับสัปดาห์กว่าจะยอมแพร่งพรายออกมานั้น
ถือเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า บรรดาคู่มือการดูแลรักษาความปลอดภัยที่ระบุเอาไว้ มันก็แค่ “หนังสือชี้ชวน” อันสวยหรูของบริษัทมหาชนแห่งนี้เท่านั้น บรรดาคู่มือการอนุญาตและการควบคุมการใช้สารกัมมันตรังสีที่กำหนดเอาไว้เป็นตัวบทกฎหมายนั้น แทบจะไร้ค่าเป็นแค่ “กระดาษทิชชู่” ไปเลย เมื่อมาเจอกับ ทำอะไรก็ได้คือไทยแท้
ทำให้อดนึกต่อไปไม่ได้ว่า แล้วระบบการควบคุมการผลิต การดูแลการเข้า-ออกของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ที่โอ่นักโอ่หนาว่าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ใช้เทคโนโลยีสะอาดในทุกขั้นตอน และมีระบบดักจับฝุ่นที่ออกจากป่องควันเหนือโรงไฟฟ้าที่อยู่เหนือมาตรฐานที่ทางการกำหนด
ก็ขนาดแท่งกัมมันตรังสี “#ซีเซียม-137” สุดอันตรายขนาดน้ำหนักกว่า 25 กิโล ยังอันตรธานหายไปจากโรงงานชนิดที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ แล้วจะไปเอาสาระอะไรเอากับ “ฝุ่นละอองปนเปื้อน” ที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากันเล่า???
ขณะที่ทางการเองก็ดูจะ “เอื้ออาทร” กับการดำเนินการในเรื่องนี้เหลือกำลังจริง ๆ สารกัมมนตรังสีที่ต้องมีกลไกการควบคุมดูแลเพื่อปกป้องรักษาชีวิตของผู้คนเป็นหลัก กลับช่วยกันเก็บงำ ช่วยกันปกปิดราวกับกลัวว่า ประชาชนจะแตกตื่นประเทศมันจะแตกเป็นเสี่ยงเสียงั้น
และพอได้เห็นกับตาว่า เขาเอาแท่งกัมมันตรังสีที่ว่านั้นไปหลอมเป็นเศษเหล็กไปหมดแล้ว เหลือแค่เศษผงแค่หยิบมือซึ่งในระหว่างกระบวนการหลอมเศษเหล็ก หรือระหว่างกระบวนการอัดแท่งก่อนเทเข้าเตาหลอมในโรงถลุงเหล็กโรงหลอมเหล็กที่ว่านั้น ไม่รู้เจ้าแท่งกัมมันตรังสีที่ว่าจะแผ่ขยาย กระจายสารกัมมันตรังสีที่ว่านี้ไปไหนต่อไหนแล้ว ฝุ่นละอองของแท่งกัมมันตรังสีที่ถูกเผาไหม้เป็นผงธุลีนั้นฟุ้งกระจายไปไหนต่อไหนบ้างก็ไม่รู้
แล้วจะมาปั้นสีหน้า ตีฝีปากปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ แถลงข่าว ไม่พบอันตราย ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไรกันไปนะพี่น้องได้อีกหรือ?
เห็นการทำงานของหน่วยงานราชการไทย และผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ก็ให้นึกชื่นชมที่ประชาชนคนไทยเราที่ช่วยกันต่อสู้ ขัดขวาง และคัดค้านการผุดโรงไฟฟ้านิเคลียร์ไม่ยอมให้เกิดขึ้นในบ้านเราเสียจริง ๆ เพราะต่อให้ไฟฟ้ามันจะแพงบรรลัยแค่ไหน เอาว่าแม้คนไทยจะไม่มีปัญญาจ่ายค่าไฟฟ้าค่าเอฟทียังไง
อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แน่ เพราะด้วยระบบการทำงาน “สุดชุ่ย” ทำอะไรก็ได้คือไทยแท้ และระบบการกำกับดูแลรักษาความปลอดภัยในการใช้นิวเคลียร์ หรือสารกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือต่อให้ต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้นไปอีกเป็น 100 เท่า หรือ 1,000 เท่า ก็เถอะ
แต่ประเทศไทย (คนไทย) มันก็แค่นั้น เงินและอำนาจแทบจะซื้อได้ทุกอย่างแบบนี้ ก็อย่าไปคิดฝันว่าเราจะเชื่อใจใคร หรือหน่วยงานใดในประเทศนี้ได้ ขืนปล่อยให้ปลุกผีตั้งโรงไฟฟ้าแบบนี้ขึ้นมา ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงได้เห็นแท่งกัมมันตรังสีโผล่มาขายเป็นเศษเหล็กอยู่ข้างบ้านแน่
ไม่พ้นที่ประชาชนคนไทยนั่นแหล่ะ จะต้องรับกรรมวันยังค่ำ สู้ “ปิดประตูลั่นดาน” มันไปไปตลอดศกนั่นแหล่ะ จะได้นอนตายตาหลับ จริงไม่จริง!!!
แก่งหิน เพิง