สถานการณ์รายรอบประเทศไทย โดยใช้พลังและอำนาจทางด้านเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจ ยึดเอา “อำนาจการปกครอง” ของหลายประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน “เมียนมา ลาว และกัมพูชา” ดังที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา! ทว่ามันคือเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่อาจทำให้เกิดการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้
อำนาจและผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร? แม้แต่ พี่น้อง...มิตรสหาย ที่เคยร่วมรักและกอดคอกันมา ก็พร้อมจะห้ำหั่นและเข่นฆ่ากันได้ตลอดเวลา นั่นเพราะเจ้า 2 สิ่งนี้!!!
และวันนี้...อำนาจและผลประโยชน์ ไม่ได้จำกัดตัวอยู่แค่ภายในประเทศของตนเอง หากแต่ยังสยายปีกออกไปไกลได้มากกว่านั้น ยิ่งเป็นชาติมหาอำนาจ... มีแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทั้งในทางการทหาร ทางการเมือง และในทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากเท่าใด กลิ่นอายแห่งอำนาจและผลประโยชน์ ก็ยิ่งจะทวีรุนแรง และกระจรกระจายออกไปได้กว้างไกลเกินขอบเขตแห่งจินตนาการมากนัก
ระหว่างที่ การเมืองของไทยอยู่ในห้วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งของบรรดานักการเมืองและพรรคการเมือง ที่ในอีก 2 สัปดาห์เศษข้างหน้า เสียงของคนไทยจะชี้ขาด...มอบอำนาจให้คนกลุ่มนี้ ได้เข้ามาบริหารประเทศ อยู่นั้น...
อีกด้านหนึ่ง! รัฐบาล สปป.ลาว ก็ได้อนุญาตให้สกุลเงิน “หยวน” ของจีน เป็นอีกสกุลตราที่คนลาว สามารถนำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในประเทศได้อย่างเป็นทางการ
กระทั่ง ถูกมองจากโลกภายนอก ทั้งในระดับอาเซียนจนถึงระดับโลก ว่า... สปป.ลาว ได้ตกเป็นรัฐอาณานิคม หรือพูดให้ชัดก็คือ...เป็นอีกมณฑลหนึ่งของจีนไปแล้ว
ก่อนหน้านี้...รัฐบาลกรุงปักกิ่ง ก็ใช้แสนยานุภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการนำเสนอเงินกู้จำนวนมหาศาลให้กับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ให้กับหลายชาติในเอเชีย โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแฮมบันโตตา มูลค่ากว่า 36,700 ล้านบาท ที่ทางการจีนเสนอให้กับรัฐบาลศรีลังกา และอีกหลายๆ โครงการก่อนหน้านั้น ก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง...ของการใช้อำนาจในทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แทนที่การใช้อำนาจและกำลังทหารในการบุกยึดดินแดนของชาติอื่น
วันนี้...ปมที่รัฐบาลศรีลังกา “เล่นใหญ่เกินเบอร์” ทำการกู้เงินจำนวนมหาศาลจากจีน มาเพื่อหวังจะพัฒนาประเทศและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น ได้ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง...จนกลายเป็น “ทาสแห่งอำนาจนายเงิน” อันเนื่องมาจากการประสบกับปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่อาจจะหาเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยสุดโหด...มาชดใช้คืนให้กับรัฐบาลจีนได้ จำต้องยอมยกและแบ่งอำนาจการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายการบริหารประเทศ และทิศทางการเมืองระหว่างประเทศให้กับรัฐบาลกรุงปักกิ่ง เป็นที่เรียบร้อย...นำร่องไปแล้ว
ว่ากันว่า...รัฐบาลกรุงเนปิดอร์ แห่งเมียนมา ภายใต้การนำของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก็เป็นอีก...หนึ่งประเทศในเอเชีย และเป็นประเทศแรกของอาเซียน ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน ก่อนหน้าที่ สปป.ลาว จะตามติดกันไป
อย่างว่า... รัฐบาลเผด็จการทหาร ที่พร้อมจะเข่นฆ่าคนในชาติทุกคนที่เห็นต่างไปจากตน กระทั่งถูกแอนตี้และบอยคอตทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากชาติตะวันตก จนต้องหันไปพึ่งพิงรัฐบาลจีนในเกือบทุกมิตินั้น โอกาสจะถูกแทรกแซงในการบริหารประเทศก็ย่อมมีสูง! และสิ่งนี้...ก็เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน
หันกลับมาดูที่ สปป.ลาว กับโครงการขนาดยักษ์แรกของชาติในอาเซียน นั่นคือ โครงรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว มูลค่า 1.99 แสนล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนในขณะดำเนินโครงการ) ซึ่งรัฐบาลจีนรับผิดชอบภาระทางการเงินมากถึง 70% โดยทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ออกแบบ ดำเนินการก่อสร้าง และวางระบบทั้งหมดให้กับ สปป.ลาว รวมถึงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในหลายๆ พื้นที่ของ สปป.ลาว ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ ทำให้อำนาจและอิทธิพลของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ย่อมต้องมีเหนือรัฐบาลกรุงเวียงจันทร์ อย่างไม่ต้องสงสัย?
การประกาศใช้เงินหยวนเป็นเงินตราทางการของ สปป.ลาวนั้น คือ การนำร่องในการครอบครองดินแดนแห่งนี้ต่อเนื่องกันไป ดูเหมือนรัฐบาลกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่มี นายฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีผูกขาดอำนาจมายาวนานและต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากเมียนมา และ สปป.ลาว สักเท่าใด เพราะหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลกรุงพนมเปญ จำต้องอาศัยและพึ่งพิงอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการทหาร จากรัฐบาลกรุงปักกิ่ง อย่างสุดๆ
ล่าสุด นอกเหนือจากการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการสร้างเมืองท่องเที่ยวชายทะเล อย่าง.. สีหนุวิลล์ เพื่อหวังจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก และการก่อสร้างสนามกีฬาขนาดยักษ์ “มรกดเตโช” ชานกรุงพนมเปญ รองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 23 กำหนดจัดขึ้นในช่วงต้นพฤษภาคม 2566 นี้แล้ว
ยังจะมีอีกโครงการขนาดยักษ์ นั่นคือ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกเรียม ในเขตเมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งรัฐบาลกรุงพนมเปญ ดึงเอาเงินทุนก้อนโตของทางการจีนมาร่วมพัฒนา และอ้างว่า...จะใช้เป็นพื้นที่จอดเรือสินค้าขนาดใหญ่นั้น
ดูเหมือนสิ่งนี้...จะเห็นไม่ตรงกับชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา และหลายชาติอาเซียนสักเท่าใด
อีกฝั่งกลับมองเห็น ท่าเรือน้ำลึกเรียมของกัมพูชา อาจถูกใช้เป็นท่าเทียบเรือในทางการทหาร และกองทัพเรือของจีน ก็จะเป็นผู้ใช้และครอบครองท่าเรือแห่งนี้ อาการกร้าว! ของ 2 ผู้นำจากกัมพูชา และ สปป.ลาว ที่มีต่อทางการไทย ทั้งที่พวกเขาเป็นชาติที่เล็กและด้อยกว่าไทยอย่างมากในทุกๆ มิติ ย่อมสะท้อนภาพ “เงาทะมึน” ของผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ได้อย่างหมดข้อสงสัย?
นั่นเพราะ ทั้ง นายฮุน เซน และ นายสอนไซ สีพันดอน 2 ผู้นำฯ ประเทศด้านทิศตะวันออกของไทย ต่างมั่นใจใน “แบ็กอัพ” ของตัวเองอย่างที่สุดนั่นเอง
แต่การเล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศ หาได้จบอยู่แค่...การเมืองระหว่างประเทศเท่านั้น? จึงไม่แปลกใจที่หลายฝ่าย ทั้งจาก โลกตะวันตก และชาติในอาเซียนเอง จะมองว่า...กัมพูชา และ สปป.ลาว กำลังดึงเอา “ไฟสงคราม” เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้
นั่นเพราะการเกิดขึ้นของท่าเรือน้ำลึกเรียม ซึ่งทางการกัมพูชาออกมายอมรับเองว่า... ทหารจีนจะเข้ามาใช้งานอย่างเป็นทางการนั้น อาจนำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจต่อชาติตะวันตก และอีกหลายชาติในอาเซียนที่กำลังมีข้อพิพาทในดินแดนแห่งหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ ซึ่งรัฐบาลกรุงปักกิ่งอ้างสิทธิ์ในความเป็น “เจ้าของ” นับแต่สมัยจักรพรรดิ์จีนครอบครองประเทศ
กระทั่ง กลายเป็นความบาดหมาง ทั้งกับ..เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอีกหลายประเทศ มาจนถึงทุกวันนี้
เพราะการครอบครองหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ แผ่นดินผืนน้อยที่มีเนื้อที่แค่กว่า 4 ตารางกิโลเมตร แต่คาดกันว่า...ใต้ดินลึกลงไปในผืนดินบริเวณแถบนั้น อาจจะมีทั้งนํ้ามันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล ราว 17.7 พันล้านตันซ่อนอยู่ แต่ที่มีมากกว่านั้น ก็คือ หมู่เกาะเล็กๆ แห่งนี้ กลับมีอณาเขตกว้างไกล ครอบคลุมพื้นที่มหาสมุทรมากถึงกว่า 425,000 ตารางกิโลเมตร
และนั่นจะทำให้แสนยานุภาพทางทะเล กับเส้นทางเดินเรือทางการทหารของจีน มีขอบเขตกว้างไกล จนอาจกระทบความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...ก็เป็นได้
จะว่าไปแล้ว ถ้าทางการไทย ยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ที่ยื่นเสนอให้เงินกู้จำนวนมหาศาล สำหรับใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายอีสาน “กรุงเทพ-โคราช-หนองคาย” แล้วไปเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวแล้ว
เหตุการณ์ “ซูเปอร์เคลม” จากฝั่งกัมพูชา กระทั่งการออกมาประกาศกร้าวของ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้โลกได้รับรู้ทำนองว่า...การเลือกตั้งครั้งใหญ่ของกัมพูชาที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2566 นั้น หากเขาไม่ได้ปกครองประเทศนี้อีกต่อไป สงครามระหว่างกัมพูชากับไทยและเวียดนาม ย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
ข่มขู่กันคนกัมพูชาเอง และยังส่งสารข่มขู่ไปถึงไทยและเวียดนามอีกด้วย
นั่นเพราะ นายฮุน เซน มั่นใจในพลังงานอำนาจที่หนุนเขาอยู่เบื้องหลัง นั่นเอง
กลับมาดูที่ การเลือกตั้งใหญ่ของไทยกันบ้าง ในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ คนไทยจะได้มอบอำนาจการบริหารประเทศให้กับพรรคการเมืองใดนั้น อีกไม่กี่อึดใจเราก็จะรู้กันแล้ว
ประเด็นสำคัญกว่านั้น ก็คือ...รัฐบาลใหม่ และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป “ลำดับที่ 30” จะมีมุมมองและนโยบายการเมืองระหว่างประเทศและนโยบายทางการทหารอย่างไร? กับสถานการณ์ที่กำลังรายล้อมประเทศอยู่ในขณะนี้
ต้องไม่ลืมว่า...ในประเทศไทยนั้น อิทธิพลของทางการจีน ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร และทางด้านเศรษฐกิจ ย่อมไม่ธรรมดาเอามากๆ ทั้งที่มีผ่านไปยัง...บรรดาเจ้าสัวและนักธุรกิจใหญ่ “คนไทยเชื้อสายจีน” ซึ่งหลายตระกูลครอบครองระบบเศรษฐกิจของไทยอยู่ในมือ
นี่ยังไม่นับรวมบรรดาสมาคมและองค์กรในมิติต่างๆ ที่มีชื่อในทำนอง “ไทย-จีน” ต่อท้าย รวมถึงการที่ได้แนวร่วมสื่อยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็กอีกหลายค่าย ที่ต่างก็แสดงตนเด่นชัด...ขอยืนข้างทางการจีน
คนกลุ่มนี้ ให้ข่าวออกสื่อ แสดงความเห็นในลักษณะ...เชียร์จีนกันสุดลิ่มทิ่มประตู! หวังให้ไทยน้อมรับพลังอำนาจของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ประหนึ่ง...ศิโรราบกันไปเลย
ถึงตอนนั้น รัฐบาลชุดใหม่ของไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 จะคิดอ่านการใดกับเรื่องพรรค์นี้ ก็อยากให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย
เลือกผิดข้าง...ย่อมกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย?
การลดขนาดของกำลังพล และจำกัดการซื้ออาวุธสงครามใหม่ๆ คุณภาพสูง เป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ จะต้องเร่งรีบหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ก่อนจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดออกไป
สิ่งหนึ่งที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” อยากจะบอกเอาไว้ตรงนี้ ก็คือ... สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็น...เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา นั่น หาใช่สถานการณ์ปกติไม่!!!...
แต่เป็นหนึ่งในแผนการ...สร้างสถานการณ์ แผ่ “รังสีอำมหิต” ของชาติมหาอำนาจ ที่พร้อมจะใช้ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้...เป็นสมรภูมิรบทางการทหารแห่งใหม่ของชาติมหาอำนาจ ที่กำลังแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ กันในเวลานี้