แม้ผลการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์เมื่อ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะเกิดปรากฎการณ์ "พลิกล็อค" หักปากกาเซียนแบบถล่มทลาย พรรคการเมืองที่คาดหวังจะ"แลนสไลด์"ทั้งแผ่นดิน ต้องลื่นไถลหัวคะมำ เมื่อถูกการเมืองใหม่ “ก้าวไกล” ปาดหน้าแซงเข้าป้ายซะงั้น
แต่กระนั้นประชาชนคนไทยก็พร้อมใจกันให้บทเรียนแก่พรรคการเมืองที่เคย “ตระบัดสัตย์” เห็นประชาชนเป็นหัวหลักหัวตอ ด้วยการเทคะแนนเสียงมาฝั่งประชาธิปไตยชนิดมืดฟ้ามัวดินแม้ในถิ่น “ท็อปบู๊ท” ก็ตาม อันเป็นเครื่องสะท้อนการโหยหาประชาธิปไตยและโหยหาการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้ถนนทุกสายจะ “ตีปี๊บ” กรี๊ดให้กับ "ว่าที่นายกฯ ใหม่" นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคที่ประกาศจับมือพรรคฝ่ายค้านเดิม 6 พรรคเพื่อฟอร์มรัฐบาลชุดใหม่ 309 เสียง ที่เพียงพอที่จะประคับประคองรัฐนาวาใหม่ให้ก้าวข้าม “สว.ปรสิต” ไปได้แน่
แต่อย่างที่โบราณท่านว่าไว้...“การศึกยังไม่สงบอย่าเพิ่งนับศพทหาร” ระยะทางระหว่างที่ทุกคนต้อง “ปูเสื่อ” รอ กกต.รับรองผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการให้ครบ 500 คน ที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2เดือนขึ้นไปนั้น ขวากหนามข้างหน้ากว่าจะถึงวันนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้
รัฐบาล สายล่อฟ้ากับเผือกร้อนกลาโหม
อย่างไรก็ตาม...แม้ยังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าของรัฐบาลนายพิธา แต่หลายฝ่ายพากันวิเคราะห์กันไปล่วงหน้าแล้วว่า จะเป็นรัฐบาล "สายล่อฟ้า" ที่จ่อเรียกแขกให้งานเข้าเป็นรายวัน จากการพิเคราะห์และสังเคราะห์นโยบายที่พรรคก้าวไกลและพรรคแกนนำเพื่อไทยร่วมกันหาเสียงเอาไว้
ทั้งเรื่องการรื้องบประมาณกลาโหม-กองทัพ งบลับทหาร ยกเลิกการเกณฑ์ทหารมาเป็นความสมัครใจเป็นหลัก การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะประเทศไทยนำร่องเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กทม. มาค่อนศตวรรษแล้ว หากจะขยายไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างจังหวัดเชียงใหม่ หรือภูเก็ต ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือกรณีต้องตัดงบบำนาญราชการที่สูงเกินเหตุ และโดยเฉพาะการรุกคืบแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อนั่งร้านสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พ่วงการแก้ไขบทบัญญัติมาตรา 112 ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน ที่ไม่ว่าอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงจ่อเรียกแขกให้งานเข้าเป็นรายวันแน่ ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะเด็ก และเยาวชนต่างคาดหวังเอาไว้สูงยิ่งต่อประเด็นเหล่านี้
ดาบ 2 คมรื้อนโยบายพลังงาน
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคก้าวไกลหาเสียงเอาไว้ก่อนหน้า โดยเฉพาะกรณีการปฏิรูปรื้อโครงสร้างพลังงาน และค่าไฟฟ้า ทบทวนสัญญาจัดหาและผลิตไฟฟ้า การรุกคืบจัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและที่นำเข้า LNG ใหม่เพื่อให้ภาคประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูก จนทำเอานักลงทุนขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กันนั้น
ที่จริงหากวิเคราะห์สิ่งที่ “ประธานคณะก้าวไกล-นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และแกนนำพรรคสื่อออกมาสู่สาธารณะนั้น เป็นดาบ 2 คม ที่น่าจะเรียกแขกให้งานเข้าเสียมากกว่า และน่าจะ “เข้าทางผู้ผลิตไฟฟ้า” ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ (IPP) เสียมากกว่า หากรัฐบาลและพลังงานจะจัดสรรก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบต้นน้ำมาให้แก่ภาคการผลิตไฟฟ้าในราคาถูกก่อน
แต่นั่นคงต้องแลกมาด้วยกระแสต้านจากเครือข่ายพลังงานที่คงลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอและตราหน้ารัฐบาลว่า เอื้อเอกชนรายใหญ่ผูกขาดหนักเข้าไปอีก ทั้งยังอาจถูกมองว่า เป็นนโนบายที่ไม่ต่างจาก “เผาไม้สักทำฟืน” เพราะก๊าซธรรมชาตินั้นถือเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สามารถสร้าง Value Added ให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ ได้อีกมาก
แต่ในส่วนของการปรับโครงสร้างพลังงาน และโดยเฉพาะราคาน้ำมัน สังคายนากองทุนน้ำมัน กองทุนอนุรักษ์ที่มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันในบ้านเราไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงนั้น เชื่อแน่ว่ารัฐบาลใหม่คงรุกคืบดำเนินการแน่ เพราะเป็นสิ่งที่หาเสียงเอาไว้
เจ้าสัวเจริญ-อุตฯเหล้า เบียร์สะเทือนแน่
ที่จริงกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ รัฐบาลก้าวไกลมากที่สุดนั้น น่าจะเป็นอุตสาหกรรมเหล้า- เบียร์ ของ “สองเจ้าสัวมินเลียนแนร์เมืองไทย” เสียมากกว่า เพราะทุกฝ่ายต่างรู้กันอยู่เต็มอก พรรคก้าวไกลชูนโยบาย “สุราเสรี” และสนับสนุนสุราชุมชน รวมไปถึง “คราฟท์เบียร์” เป็นนโยบายหาเสียงหลัก
เพราะหากย้อนไปก่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ เมื่อ 1 พฤศจิกายน 65 ช่วงที่พรรคก้าวไกลและพลพรรคฝ่ายค้านนำเสนอร่าง พรบ.ภาษีสรรสามิตที่จะกรุยทางไปสู่การเปิดเสรีเหล้า-เบียร์ เปิดเสรีสุราชุมชนนั้น รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ได้ปาดหน้าออกประกาศกระทรวงการคลังที่อ้างว่า เพื่อรองรับการเปิดเสรีการผลิตสุรา เปิดเสรีเหล้าเบียร์ออกมา โดยที่เนื้อแท้นั้นกลับเป็นการ “ลั่นดาน” การผลิตสุราชุมชนและคราฟท์เบียร์เสียมากกว่า
ครั้งนี้เชื่อแน่ว่า รัฐบาลใหม่คงรื้อประกาศกระทรวงการคลัง ภาษีสรรพสามิต เพื่อกรุยทางไปสู่นโยบายเปิดเสรีสุราชุมชน และเปิดเสรีเหล้าเบียร์ของผู้ผลิตรายเล็กตามมาแน่ ดีไม่ดีควันหลงจากการชงประกาศกระทรวงการคลังในการลั่นดานการเปิดเสรีเหล้าเบียร์ของผู้ผลิตรายเล็ก และสุราชุมชนก่อนหน้านั้น อาจทำให้ข้าราชการกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง โดนเด้งกันระนาว
ส่วนนโยบายกัญชาเสรีนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าแนวทางที่รัฐบาลชุดก่อนวางไว้นั้น คงจะต้องถูกสังคายนายกกระบิแน่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า “นโยบายกัญชาเสรี” ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการเอาไว้นั้นยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ และจุดอ่อนแฝงไว้ด้วยการปล่อยให้มีการซื้อ-ขายและเสพกันเกลื่อนเมืองจนนำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ
ส่วนเรื่องของคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและรถไฟฟ้านั้น เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลชุดใหม่คงจะให้พรรคเพื่อไทย เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายหลักด้านนี้ เพราะมีความเชี่ยวชาญและมีความถนัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งยังจะเป็นการสานต่อนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่พรรคได้หาเสียงเอาไว้
โดยรถไฟฟ้าที่คาดว่าจะถูกสังคายนาเป็นลำดับแรกน่าจะเป็น ”รถไฟฟ้า สายสีส้ม” ที่ประมูลคาราคาซังมากกว่า 3 ปีแล้ว และเชื่อว่า เมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาเต็มตัว รัฐมนตรีคมนาคมคงสั่งยกเลิกผลประกวดราคาเดิม เพื่อดำเนินการทบยทวนและจัดประกวดาราคาใหม่ยกกระบิแน่
เผลอ ๆ เราอาจได้เห็นการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ชิงออกประกาศยกเลิกผลประกวดราคาก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเข้าบริหารประเทศด้วยซ้ำ เพราะหากตกไปถึงมือรัฐบาลใหม่เข้ามาโม่แป้งเอง โดยการจัดประมูลใหม่ ไม่ว่าผลประมูลจะออกมาอย่างไร หากผลประมูลที่ออกมาค่าก่อสร้างโครงการนี้ลดลงไป 30,000 - 50,000 ล้านบาท จะกลายเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องและไส้ในของผลประโยชน์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้โครงการนี้ในทันที
แน่นอนว่าในส่วนของฝ่ายบริหาร รฟม.เอง ก็ไม่อาจจะปัดความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ จับตาอย่ากระพริบกับอนาคตรถไฟฟ้า สายสีส้ม ที่จะจบลงด้วยรัฐบาลสีส้มอย่างแน่นอน!!!