แค่เพียงก้าวข้าม 2 อุปสรรคในทางการเมือง! คนไทยและโลกจะได้รู้จักกับ “พิธามาร์เก็ตติ้ง” พลังแฝงที่จะเอื้อสินค้าพื้นบ้าน ยันทุกอย่างที่สะท้อนภาพ “ซอฟท์เพาเวอร์ไทย” หนุนเศรษฐกิจได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
……
เหลืออีกแค่ 2 ก้าวในทางการเมือง! หากผ่านก้าวในการเลือก “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” และก้าวโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” ในเวทีรัฐสภา (รวมสภาผู้แทนฯกับวุฒิสภา) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้าไปได้
“ทิม – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ที่คนไทยกว่า 15 ล้านคนได้เลือกให้ พรรคก้าวไกล...เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลฝั่งประชาธิปไตย และเลือกให้ ตัวเขาได้เป็น “หัวหน้ารัฐบาลและผู้นำประเทศ” ในฐานนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ก็จะถึงฝั่งฝันกันแล้ว!!!
แม้จะมี “ธง” จาก “ผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ” ตั้งไว้! คือ “หยุด! พิธาและพรรคก้าวไกลให้ได้” โดยใช้ทุกสรรพกำลัง ผ่านเครือข่าย...องค์กรอิสระ สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการคน สื่อมวลชนบางกลุ่ม รวมถึงบรรดา นักร้อง “เสียงหลง” รวมหัว...สกัดการเป็นนายกรัฐมนตรีและแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
แต่ถึงนาทีนี้ ดูเหมือนอุปสรรคต่างๆ ค่อยๆ จะสลายและจางหายไปตามเงื่อนไขของข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกรณี “การถือหุ้นไอทีวี” ซึ่งที่สุด! “อดีตคนไอทีวี” ที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่า “จะไม่ยอมให้องค์กรต้นสังกัดเก่าของพวกเขา ตกเป็นเครื่องมือในทางการเมืองให้กับคนกลุ่มใดก็ตาม” และก็เป็น “อดีตคนไอทีวี” ที่โลดแล่นในโลกวิชาชีพสื่อมวลชน อย่าง “ทีมข่าว 3 มิติ” สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ที่ทำให้สังคมไทยได้สัมผัสกับ ข้อเท็จจริง...ที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
และนำมาซึ่งจุดที่ทำให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินใจที่ประกาศรับรอง 500 ส.ส.ไปก่อน
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพะบรรดานักร้อง ที่ยังไม่วาย...อุตส่าห์หาเรื่องไปยื่นเอาผิด “พิธา” กับ กกต. โดยที่กระแสเหม็นเบื่อกับพฤติกรรมเยี่ยงนี้ กระจายไปทั่วสังคมไทย แม้กระทั่งสังคมภายใน กกต.เอง ก็รู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของนักร้องคนนี้ กระนั้น แนวโน้มการยื่นเอกสารอันเป็นเท็จเพื่อเอาผิด “พิธา” ได้ทำลายเครดิตทั้งหมด จนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว และเป็นตัวนักร้องเสียเอง ที่จะโดนคดีต่างๆ ตามมาเล่นงานตัวเองไม่เว้น...ทรัพย์สินเงินสดและรถหรูที่เคยอวดโชว์
พักเรื่องการเมืองหนักๆ เอาไว้ก่อน เพราะหาก “พิธา” ก้าวข้ามทุกปัญหาและอุปสรรคไปได้แล้ว โอกาสของประเทศไทย ของคนไทย ของธุรกิจไทยในมิติต่างๆ จะเป็นเช่นใด น่าสนใจไม่น้อย...
ก่อนหน้านี้ แค่หัวหน้าพรรคก้าวไกลและว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากพรรคการเมืองที่มีมากถึง 300 นโยบายหาเสียง (ซึ่งเตรียมจะนำไปสู่การปฏิบัติในห้วงของการเป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่) พูดถึง ชื่อของสุราพื้นบ้าน ตามนโยบายสุราก้าวหน้า ที่เคยเกือบจะผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรในห้วงการประชุมในสมัยก่อนหน้านี้ และนั่นก็ทำให้เหล้าพื้นบ้านของไทย ขายดีจนหมดสต๊อก!
แม้จะโดน “มือดี” ถากถางและถูกนักร้องยื่นฟ้อง ปมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มาตรา 32 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทําได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่มีการปรากฏภาพของสินค้า หรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เว้นแต่เป็นการปรากฏของภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเท่านั้น ทั้งนี้ตามที่กําหนด ในกฎกระทรวง บทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสอง มิให้ใช้บังคับกับการโฆษณาที่มีต้นกําเนิดนอกราชอาณาจักร"
แต่สำหรับ “พิธา” กลับมองว่า การฟ้องร้องดังกล่าว เสมือนเป็นการช่วยโหมโปรโมตสุราพื้นบ้านของไทย ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างของสังคมไทย ผลที่จะตามมาคือ สุราพื้นบ้านของไทย ที่ปัจจุบันมีมากมายหลายแบรนด์และหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จะขายดิบขายดี เป็นที่ต้องการของนักดื่มทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ไม่เพียงแค่นั้น ยังจะช่วยสกัดกั้นสุราพื้นบ้านนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งจาก...จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และชาติตะวันตก แถมยังช่วยให้เกษตรกรไทย ผู้ปลูกวัตถุดิบในการนำไปผลิตสุราพื้นบ้าน ได้มีรายได้ มีอาชีพ และมีโอกาสในชีวิตที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก เคยแสดงมุมมองต่อปรากฏการณ์ข้างต้น ว่า แค่ “พิธา” เอ่ยชื่อสุราพื้นบ้าน ทั้งจากสุพรรณบุรี กระบี่ และอีกหลายจังหวัดในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา จากช่อง 3 ก็ทำให้คนไทย...ถึงบางอ้อ! ทำนอง...มีแบรนด์สุราพื้นบ้านเหล่านี้ด้วยหรือ? จากนั้นไปตามล่าหาความจริง...ไล่ซื้อ จนหมดตลาด
สร้างปรากฏการณ์ “โดมิโน่” ต่อเนื่องไปถึงแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่...แต่ไม่เป็นที่รู้จักของสังคมไทย ซึ่งหลังจากนั้น...ทุกแบรนด์ต่างจะถูกนำไปเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้คนไทยได้รู้จักและลิ้มรสชาติของสุราพื้นบ้านเหล่านั้น รวมกันหลายสิบแบรนด์
แค่ไม่กี่ประโยคจากปากของ “พิธา” ได้ก่อเกิดเป็นพลังทางการตลาดอย่างมหาศาล ให้กับสินค้าจากภูมิปัญญาคนไทยอย่างมากมาย ซึ่ง รศ.ดร.นันทนา ชี้ว่า...นี่คือการใช้ “ซอฟต์เพาเวอร์” ของความเป็น “พิธา” ไปสร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจของประเทศ
ความเป็น “คนดัง” (เซเล็บ) ดีกรี “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย ย่อมมีส่วนช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าไทย ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับทั้งในและนอกประเทศไทย
ไม่ต่างจากที่ ลิซ่า (ลลิสา มโนบาล) ศิลปินเคป๊อบชาวไทย ในวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังระดับโลก อย่าง “แบล็กพิงค์” ได้หยิบจับสินค้าและเสื้อผ้าแฟชั่นไทย รวมถึงเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ (วัดและวังเก่าในสมัยอยุธยา) ก็ทำให้คนทั่วโลก สนใจและติดตามสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้น ถือเป็นการช่วยโปรโมตประเทศไทยให้ทั่วโลกได้รู้จัก
“พิธา” ก็เช่นกัน เขาอาจไม่โด่งดังระดับโลก และอาจนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ได้ไม่นานนัก แต่กระนั้น ในห้วงที่ตัวเขาทำหน้าที่ “หัวหน้ารัฐบาลและผู้นำประเทศ” อยู่นั้น ใดๆ ที่ “พิธา” ได้เอ่ยถึง เข้าถึง นำเสนอ และแนะนำสินค้า บริการ หรือสถานที่ใดๆ ก็ตาม
เชื่อว่า...สิ่งนั้น จะก่อเกิดเป็นพลัง “พิธามาร์เก็ตติ้ง” ที่ไม่เพียง “ด้อมส้ม” “คนรักประชาธิปไตย” แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนที่เคยยืนในฝั่งตรงข้าม จะตามติดไปค้นหาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอย่างมากมาย
หนึ่งในนั้น มีชื่อของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. (กำลังจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 และ ททท. จะได้ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ มาทำหน้าที่แทน) เคยโยนก้อนหินถามทาง และ “พิธา” ก็แสดงความสนใจจะเป็น “แอมบาสเดอร์ - การท่องเที่ยวไทย” ให้กับ ททท. แม้วันนั้น...เขาจะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
นั่นเพราะ ททท. หน่วยงานที่ดูแลด้านการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งต้องรับมือกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 25 ล้านคนในปี 2566 สร้างเม็ดเงินมากกว่า 1.44 ล้านล้านบาท และเพิ่มเป็นกว่า 30 ล้านคนในปี 2567 มองเห็นศักยภาพที่มีในตัวของ “พิธา” และความเป็น “พิธามาร์เก็ตติ้ง” นั่นเอง
ไม่ว่าการเมืองเบื้องหน้าและเบื้องหลังจะเป็นเช่นใด? ขอแค่เพียงคนไทยและประเทศไทย ได้มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “ทิม – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ซึ่งแม้จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้...ได้แค่เพียง 1 เดือน หรือ 1 ปี หรือมากกว่านั้นแค่ไหนก็ตาม
พลัง “พิธามาร์เก็ตติ้ง” ย่อมจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้...สินค้าและบริการ ศิลปวัฒนะธรรม รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่สำคัญของไทย ได้เป็นที่รู้จักและยอมกันอย่างกว้างขวาง
ยิ่งถืออำนาจรัฐ และได้เป็น “ไทยแลนด์...แอมบาสเดอร์” พลัง “พิธามาร์เก็ตติ้ง” ก็จะยิ่งแกร่งกล้า
ที่สุด! ผลประโยชน์ทั้งมวลจะไหลมาอยู่ในมือของคนไทย ไม่เว้นแม้กระทั่ง “มือที่มองไม่เห็น” เหล่านั้น!!!