ในที่สุดองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ “กสทช.” หรือคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ก็ “แตกดังโพล๊ะ!” เมื่อถูกการเมืองเบียดแทรกเข้ามาแทรกแซงกระบวนการทำงานจนไม่เหลือเค้า
โดยล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการ กสทช. ออกมาฟ้อนเงี้ยวเกรี้ยวกราด กรณีคณะกรรมการ กสทช. มีมติให้ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล หยุดปฏิบัติหน้าที่ “รักษาการเลขาธิการ กสทช.” พร้อมตั้งกรรมการสอบวินัยกรณีสำนักงาน กสทช. อนุมัติงบสนับสนุนค่าใช้จ่ายซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ก่อนหน้า แต่กลับไม่ปฏิบัติตามกฎ “มัสต์แคร์รี่ (Must Carry)” ของ กสทช. ที่ต้องบังคับให้มีการถ่ายทอดในทุก “แพลตฟอร์ม” อย่างแท้จริงก่อนหน้านี้
แต่ไม่รู้สำนักงานเลขาธิการ กสทช. ไปเจรจาต้าอวยกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กันท่าไหน จึงทำให้ลิขสิทธิ์บอลโลกที่ได้มาจากเม็ดเงินกองทุน USO ที่ว่า กลับถูกประเคนไปให้แก่บริษัทเอกชน “ชุบมือเปิบ” ไปซะฉิบ โดยที่ กสทช. ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ทั้งที่กรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ขัดประกาศ กสทช. ว่าด้วยการถ่ายทอดสดกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ หรือกฎเหล็ก “มัสต์แคร์รี่” อย่างชัดเจน
การปลดรักษาการเลขาธิการ กสทช. ดังกล่าว ทำให้เกิดข่าวลือสะพัดภายในองค์กร กสทช. ว่า เป็นการ “ปิดประตูลั่นดาน” เส้นทางกรุยทางไปสู่เลขาธิการ กสทช. ของนายไตรรัตน์ ที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้แต่แรกไปแล้วโดยปริยายในทันที แม้จะยังคงมีชื่อเป็น 1 ใน 9 ผู้ผ่าน “แคนดิเดท” มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเข้าชิงดำตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.อยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คล้อยหลังมติบอร์ดข้างต้น กลับมีข่าวเผยแพร่ของสำนักงาน กสทช. ที่ลงนามโดย พ.ต.อ. ประเวศน์ มูลประมุข เลขานุการประจำประธาน กสทช. ออกมาระบุว่า คำสั่งที่ให้รักษาการเลขาธิการ กสทช. ยุติการปฏิบัติหน้าที่และตั้งคณะกรรมการสอบวินัย รวมทั้งที่มอบหมายให้รองเลชขาธิการ กสทช. คนใหม่ทำหน้าที่รักษาการแทนนั้น เป็นการกระทำผิดขึ้นตอน ฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับของ กสทช. และถือเป็นการดำเนินการที่ไม่มีอำนาจ ก่อให้เกิดความสับสน
โดยอ้างว่า มติบอร์ด กสทช. ที่สั่งให้รักษาการเลขาธิการ กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่ และแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ กสทช. คนใหม่ ดำเนินการในช่วงที่ท่านประธาน กสทช. เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ พร้อมยืนยัน อำนาจในการสั่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย หรือปรับเปลี่ยนรักษาการเลขาธิการ กสทช. ต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของประธาน กสทช. เท่านั้น การดำเนินการโดยพลการโดยไม่คำนึงถึง กฎ กติกา มารยาท ความหลงผิดในอำนาจหน้าที่จะยิ่งทำให้สำนักงาน กสทช. เสียหาย พร้อมยืนยันว่า นายไตรรัตน์ ยังคงทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช. อยู่
ทำเอาแวดวงสื่อสารโทรคมนาคม และผู้ปฏิบัติงานในสำนักงาน กสทช. เองได้แต่ “อึ้งกิมกี่” ตกลงวันนี้ใครทำหน้าที่ “รักษาการเลขาธิการ กสทช.” กัน และผู้ปฏิบัติงานในสำนักงาน กสทช. ต้องรับฟังคำสังจากนายไตรรัตน์ที่อ้างว่า ยังคงทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช. อยู่หรือ ต้องฟังรักษาการเลขาธิการคนใหม่ที่บอร์ด กสทช. เพิ่งแต่งตั้งไปก่อนหน้านี้
และทำเอาผู้ปฏิบัติงานในสำนักงาน กสทช. “หัวจะปวด” หนักขึ้นไปอีก เพราะการที่ท่านประธานออกมา “ดับเครื่องชน” มติบอร์ด กสทช. ที่ให้รักษาการเลขาธิการ กสทช. ยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยที่ในคำสั่งที่ออกมาก็ไม่มีความชัดเจนเพราะไม่ได้ลงนามโดยท่านประธานเอง แต่เป็นคำสั่งของเลขานุการประจำสำนักงานท่านประธาน กสทช. เอง ทำให้เกิดคถามตามมาว่า ตกลงท่านประธาน กสทช. และเลขานุการประจำสำนักงานประธาน กสทช. มีอำนาจเหนือมติบอร์ด กสทช.ไปด้วยกระนั้นหรือ?
“ตกลงมติบอร์ด กสทช. ก่อนหน้านี้ เป็นแค่ “กระดาษเช็ดตูดหรือผ้าอ้อมเด็ก” ที่ไม่มีความชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อระเบียบกฎหมายจัดตั้ง กสทช. กระนั้นหรือ”
ด้วยเหตุนี้ ห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมบอร์ด กสทช. ต้องนำเอาประเด็นร้อนฉ่าดังกล่าวเข้าถกในที่ประชุมบอร์ดอีกครั้งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการสางปัญหานี้ แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ขาดลงไปได้ว่า ตกลงแล้วมติบอร์ด กสทช. ที่สั่งปลดรักษาการเลขาธิการ กสทช. ก่อนหน้า และตั้งรองเลขาธิการขึ้นทำหน้าที่แทนนั้น มีผลในทางกฎหมายหรือไม่ เพราะฟากฝั่งท่านประธาน กสทช. ที่แม้จะเป็นเสียงข้างน้อย แต่ก็ยังคงยืนยัน นั่งยันว่า อำนาจในการแต่งตั้งหรือปลดเลขาธิการ กสทช. เป็นต้นอำนาจของประธาน กสทช. คนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่บอร์ด กสทช. ทั้งคณะ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวยังคง “คาราคาซัง” หาบทสรุปไม่เจอ (อีกตามเคย)
หลายฝ่ายได้แค่ฝากข้อคิดให้บอร์ด และประธาน กสทช. เก็บไปคิด ก็ในเมื่อทุกอย่างมันพลิกผัน ไม่เป็นไปตาม “ไทม์ไลน์” ที่ท่านประธานวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตัว “ว่าที่เลขาธิการ” ที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้เกิดไปสะดุดขาตัวเองจนล้มคะมำหัวฟาดพื้นไม่สามารถจะลงแข่งขันได้แล้วเช่นนี้ ก็สู้กลับมาตั้งหลักใหม่ ดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ที่ว่านี้ให้สง่างามไปเลยทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ?
เกิดดั้นเมฆสรรหาต่อไปจนได้ว่าที่เลขาธิการที่มีชนักติดหลังปักคาอยู่ส่งให้บอร์ดพิจารณา มันจะไม่สร้างความขัดแย้งยิ่งกว่านี้หรือ และหากท้ายที่สุดแล้ว กลับกลายมาเป็นแค่ “เลขานุการ(ส่วนตัว)” ของท่านประธาน กสทช. ที่ต้อง “ชงเอง-ตั้งเอง” ไม่เกรงใจใครอย่างที่กำลังดั้นเมฆอยู่ โดยที่บอร์ด กสทช. เป็นได้แค่เป็น “ตรายาง- รับเบอร์แสตมป์" ให้เท่านั้น ก็ไม่รู้ต่อไปท่านเลขาธิการ กสทช. จะไปฟังบอร์ด กสทช. ทำไมกัน จะทำงานสนองนโยบายบอร์ด กสทช. ทั้งชุดไปทำไมกัน ก็ในเมื่อไม่ได้ให้คุณ-ให้โทษอะไรกับตัวเอง สู้มุ่งทำงานเอาใจท่านประธานคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ? เพราะผิด-ถูกอย่างไร ท่านประธานคนเดียวเท่านั้นที่จะการันตีค้ำประกันตำแหน่งให้
“หากรูปการณ์เป็นเช่นนี้ มันจะไม่เป็นการ “ตอกย้ำ” ให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในองค์กร กสทช. หนักหน่วงขึ้นไปหรือ? ยิ่งรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ยังเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ที่เคยคาใจกับบทบาทของ กสทช. ต่อกรณีการ “ไฟเขียว” อนุมัติดีลควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” โดยไม่สนโลกอยู่ด้วยก่อนหน้านั้น หากมาเจอกับเรื่องนี้ด้วยอีกแรง ก็เห็นทีเส้นทางความสัมพันธ์และการทำงานขององค์กร กสทช. กับรัฐบาลคงจะเป็นไปในลักษณะพร้อม “ไฝว้และปีนเกลียว” กันทุกเวลาแน่"
จริงไม่จริงท่านประธาน !!!
แก่งหิน เพิง