จากมาตรการ Free Visa ของรัฐบาลไทย กลายเป็นฝันลมๆ แล้งๆ เหตุเพราะรัฐบาลจีนได้สร้างภาพความหวาดกลัว หลอกจับตัวคนจีนไปทำงานร่วมกับแก๊งค้ามนุษย์และคอลเซ็นเตอร์ ผ่านวลีร้อนแรง...แฝงในภาพยนตร์จีน No More Bets “ผู้ชม 1 คน เหยื่อฉ้อโกงลดน้อยลง 1 คน” ผสมโรงกับเศรษฐกิจแผ่นดินใหญ่เริ่มมีปัญหาหนัก นั่นจึงเป็นเหตุผล “จีนขาวเทท่องเที่ยวไทย” บทพิสูจน์เรื่องนี้คือการยกเลิกไฟต์บินเข้าไทย เผย! แค่ 2 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 66 - ม.ค. 67) หายไปกว่า 8 พันเที่ยวบิน จำที่ นายกฯ เศรษฐา ต้องปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวกันแบบยกเครื่องทีเดียว!
.............
ความหวังที่จะได้เห็น นักท่องเที่ยวชาวจีน เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยในปี 2566 สูงถึงราว 5-7 ล้านคน เช่นที่หลายฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนคาดหวังนับแต่ช่วงต้นปีนั้น
ถึงจนนาทีนี้... คงกลายเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ไปแล้ว
แม้ก่อนหน้านี้ “รัฐบาลเศรษฐา” ได้ประกาศจัดทำมาตรการ Free Visa ให้กับ นักท่องเที่ยวชาวจีน ภายหลังสถานการณ์นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ถึงขั้นที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องบินไปร่วมประชุม เวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRF) ครั้งที่ 3 ถึงประเทศจีน เมื่อช่วงวันที่ 17-18 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา
เป้าหมายสำคัญอันเป็นข้อเสนอที่หยิบติดมือไปในครั้งนั้น นอกจากจะเชิญชวนนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว ยังมีเรื่องการเปิดเส้นทางการบินและไฟต์บินระหว่าง 2 ประเทศให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
นัยว่าสิ่งนี้…สอดรับกับมาตรการ Free Visa และดึงเอานักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ “ตรงปก” อย่างที่คาดหวังเอาไว้
แต่จากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเอง ที่ส่อเค้าว่าจะเริ่มเป็นปัญหาขั้นรุนแรง ถึงขนาดที่กลุ่มทุนจีนขนาดใหญ่ทางด้านอสังหาริมทรัพย์หลายกลุ่ม จำต้องหยุดและถอนการลงทุนออกจากกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะในมาเลเซีย กัมพูชา และ สปป.ลาว
สะท้อนภาพที่ว่า...เศรษฐกิจของจีนมีปัญหาจริงๆ และสิ่งนี้...ได้ส่งผลสะเทือนไปถึง “อำนาจซื้อ” หรือพลังการจับจ่ายใช้สอยของคนจีนที่ลดลงจนน่าใจหาย
ไม่แปลกหากคนจีน ในท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหา จะหยุดและยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ แต่ที่แปลกเอามากๆ คือ การวางเกมในเชิงนโยบายของ “รัฐบาลจีน” ต่อการสกัดกั้นไม่ให้คนของตัวเองเดินทางออกนอกประเทศมากกว่า
แปลก! เพราะจาก “วลีเด็ด” ที่ทางการจีนหยิบเอามาเล่นเป็นประเด็นสาธารณะระดับชาติ ได้สร้างแรงกดทับอันมหาศาลต่อการตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศของคนจีนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
“ผู้ชม 1 คน เหยื่อฉ้อโกงลดน้อยลง 1 คน”
วลีประโยคนี้…สอดรับการกระแสความนิยมของ ภาพยนตร์จีนที่ชื่อ No More Bets (จะไม่มีการพนันอีกต่อไป) ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วย ขบวนการกลฉ้อฉลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ที่เปิดปฏิบัติการหลอกลวงคนจีนไปทำงานทางด้านการพนันและการฉ้อโกงทางออนไลน์ในประเทศเมียนมาและกัมพูชา
ภาพยนตร์ดังกล่าว ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของหนุ่มสาวชาวจีนที่หวังจะมาทำงานเก็บเงินในต่างแดน แต่กลับตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซนเตอร์ เนื่องเพราะถูกจับตัวไปทำหน้าที่เป็นหนึ่งใน “แก๊งต้มตุ๋นเหยื่อทางออนไลน์” กำหนดเป้าหมายเหยื่อคือ การหลอกลวง “เพื่อนร่วมชาติ” ของตัวเอง บนฐานที่มั่นขบวนการฉ้อฉลตั้งอยู่บนแผ่นดินของประเทศเมียนมา
แม้เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจก็ตาม แต่ไม่ทำก็ไม่ได้...การทรมานและความตาย คือ คำตอบของความคิดและการกระทำที่แปลกแยก!!!
โดยมีประเทศไทย เป็น “หน้าด่านสำคัญ” ของการหลอกลวงคนจีนปีละหลายหมื่นคน ข้ามชายแดนไปยังประเทศเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดกระแสความหวาดกลัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน ต่อการจะเดินทางมาท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศไทยด้วย
เว่ยปั๋ว (Weibo) สื่อสังคมออนไลน์ชั้นนำของจีน ได้นำเสนอผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างในประเทศจีนที่ได้แสดงให้เห็นว่า...มีชาวจีนเป็นกลุ่มตัวอย่างของแบบสอบถามนี้มากถึง 4.8 หมื่นราย จากทั้งหมด 5.4 หมื่นราย ต้องการหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศเมียนมา และอีกกว่า 3 พันราย เกิดความลังเลใจหากจะต้องเดินทางไปประเทศเมียนมา เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยเป็นสำคัญ
แน่นอน...แบบสอบถามนี้ ยังพาดพิงด้วยว่า ชาวจีนมากกว่า 85% ระบุว่า จะไม่พิจารณาเดินทางไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ยืนยันได้ถึงเหตุผลข้างต้น คงหนีไม่พ้นสถานการณ์การยกเลิกเที่ยวบินในการเดินทางออกนอกประเทศของคนจีน ที่ “รัฐบาลเศรษฐา” เคยแอบหวังเล็กๆ ว่า...จะได้เห็นภาพจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนไหลทะลักแน่นล้นสนามบินสุวรรณภูมิ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าที่โลกจะเกิดวิกฤตโควิด-19 เมื่อปี 2563-2565
ล่าสุด นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกมาบอกเมื่อ 3 วันก่อนหน้านี้ว่า มีหลายสายการบินของจีนได้แจ้งยกเลิกเที่ยวบินที่เดินทางมายังประเทศไทย ในช่วงเดือนธันวาคม 2566 จนถึง มกราคม 2567 ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยมีสายการบินของจีนจำนวน 10 สายการบิน ประกอบด้วย Air China , China Eastern , Shanghai Airlines , Spring Airlines , China Southern , Shenzhen Airlines , Juneyao Airlines , Okay Airways , Hainan Airlines และ Beijing Capital ที่ได้ทำการยกเลิกเที่ยวบินมายังประเทศไทยใน 6 สนามบินหลักในประเทศไทย
ข้อตกลงเดิมในเดือนธันวาคม จากที่แจ้งว่า...จะมีสายการบินจีนทำการบินมายังประเทศไทยมากถึง 10,939 เที่ยวบิน กลับพบว่า มีเพียงสายการบินที่ยืนยันว่าจะทำการบินเข้าประเทศไทยเพียง 5,858 เที่ยวบินเท่านั้น หายไปเกือบครึ่งที่ 5,081 เที่ยวบิน หรือ 46%
ขณะที่เดือนมกราคม 2567 เดิมแจ้งทำการบิน 10,984 เที่ยวบิน แต่พบว่า...เหลือสายการบินที่ยืนยันทำการบินแค่ 7,420 เที่ยวบิน หายไป 3,564 เที่ยวบิน หรือ 32%
เมื่อรวมทั้งสองเดือน จะพบว่า เที่ยวบินที่แจ้งทำการบินมาไทยทั้งหมดมี 21,923 เที่ยวบิน แต่ขณะนี้ยืนยันการบิน 13,279 เที่ยวบิน หายไปถึง 39% หรือ กว่า 8,648 เที่ยวบิน เนื่องจากไม่มีดีมานด์จำนวนนักท่องเที่ยวมากพอนั่นเอง
ถึงนาทีนี้...ไม่ว่าจะเป็นเพราะสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักของประเทศจีน จนทำให้รายได้และกำลังซื้อของคนจีนหดหายไปเป็นจำนวนมาก หรือเพราะความวิตกกังใจของคนจีนต่อสถานการณ์ที่พวกเขาอาจตกเป็นเหยื่อของ “ขบวนการค้ามนุษย์” และ “แก๊งคอลเซนเตอร์” หากเดินทางมาท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศไทย ก็ตาม
ดูเหมือนว่า...แนวรับทางด้านกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ตลอดระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ จนถึงห้วงครึ่งแรกของปี 2567 และอาจลาวยาวไปจนครบปี กระทั่งส่งผลต่อไปยังปีต่อๆ ไป กระทั่งกลุ่มนักท่องเที่ยวขาวจีนอาจไม่ใช่ความหวังของ “รัฐบาลเศรษฐา” และภาคการท่องเที่ยวของไทยอีกต่อไป อย่างน้อยในช่วงเวลา 1-2 ปีนับจากนี้
ยังโชคดีที่ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวทั้งจากเพื่อนบ้านอาเซียน โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ รวมถึงจากนอกประเทศกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะจากรัสเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย ตะวันออกกลาง และชาติตะวันตก ที่เข้ามาทดแทนและชดเชยนักท่องเที่ยวชาวจีนได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้
ดังนั้น นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงฝ่ายการเมืองและฟากข้าราชการที่เกี่ยวข้อง จำเป็นจะต้องปรับยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของไทยเสียใหม่ จากเดิมที่เคยคาดหวังกับนักท่องเที่ยวชาวจีน อาจต้องทำใจและลดจำนวนในส่วนนี้ลง พร้อมกับรักษาและขยายฐานนักท่องเที่ยวไปยังกลุ่มประเทศและทวีปอื่นๆ แทน
การลดจำนวนอย่างฮวบฮาบของนักท่องเที่ยวชาวจีน หากมองในแง่บวกก็มีข้อดี…กล่าวคือ เหลือแต่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีคุณภาพ ที่มากันเองแบบครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อสนิท แทนที่จะเป็น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เหมือนที่แล้วๆ มา
“น้อยในเชิงปริมาณ แต่มากในเชิงคุณภาพ” ย่อมดีกว่าอีกความหมายในทางตรงกันข้ามเป็นไหนๆ
เมื่อรับรู้และถือข้อมูลเชิงลึกอยู่ในมือมากเสียขนาดนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ก็ได้แต่หวังใจว่า “รัฐบาลเศรษฐา” คงไม่ตกม้านะ!!!