ไม่รู้ว่าจะเดินหน้ากันไปยังไงดี
กับความขัดแย้งภายในองค์กร กสทช.หรือ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระที่ดูจะ “อิสระสมชื่อ” คือ ไม่มีใครฟังใครแล้ว เพราะเล่นอวยกันใส้ฉีก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 ก่อนเคาท์ดาวน์ปีใหม่ไม่กี่วัน 4 กสทช. ก็ออกแถลงการณ์ร่วมถึงปมปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
โดยยืนยัน นั่งยันว่า 4 กสทช. ไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่มาจาก ศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เอง ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวง เพราะไม่ยอมรับการบริหารงานในรูปของคณะกรรมการที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติที่ประชุม กสทช. ไม่ใช่เป็นอำนาจของประธาน กสทช. หรือ กสทช. คนใดคนหนึ่ง จนทำให้งานต่างๆ ในองค์กร กสทช. ไปไม่เป็น
โดย 4 กสทช. เสียงข้างมาก ที่ประกอบด้วย พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต, รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ได้ร่ายยาวถึงพฤติกรรมการบริหารงานของประธาน กสทช. ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น ไล่ดะมาตั้งแต่ 1. การที่ประธาน กสทช. พยายาม “รวบอำนาจ” ในการบริหารจัดการสำนักงาน กสทช. ไว้แต่เพียงผู้เดียว เห็นได้จากกระบวนการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ที่เป็นฟันเฟืองหลักของการขับเคลื่อนองค์กร ที่ประธาน กสทช. รวบอำนาจเบ็ดเสร็จในการ ดำเนินการทั้ง “ชงเอง-ตั้งเอง” ไม่เกรงใจใคร
2. การที่ ประธาน กสทช. ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามมติที่ประชุม กสทช. ทั้งๆ ที่ตัวเองร่วมประชุมและลงมติในการประชุมนั้นด้วย เช่น มติ กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 66 ที่มีมติให้เปลี่ยนตัวผู้รักษาการเลขาธิการ กสทช. จาก นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล มาเป็น นายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ แต่ภายหลังประธาน กสทช.เองกลับไม่ยอมลงนามในคำสั่งแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ กสทช. คนใหม่ ตามมติที่ประชุม
3. การที่ประธาน กสทช. ประวิงเวลา ไม่นำวาระปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน กสทช. เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม กสทช. ทั้ง ๆ ที่ กสทช. มีมติเห็นชอบในหลักการไปแล้ว ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการปรับปรุงโครงสร้าง และทำให้รักษาการเลขาธิการ กสทช. ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ถือโอกาสออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารภายในสำนักงาน กสทช. โดยไม่มีอำนาจ
4. ไม่ยอมให้กรรมการ กสทช. พิจารณางบประมาณรายจ่ายของสำนักงาน กสทช. ประจำปี 2567 ตามระเบียบ กสทช.ว่าด้วยงบประมาณที่ กสทช. มีมติเห็นชอบปฏิทินงบประมาณที่กำหนดขั้นตอนการดำเนินการไว้ชัดเจนว่า จะต้องเสนอให้ที่ประชุมกรรมการ กสทช. เห็นชอบ ก่อนที่จะส่งไปยังคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการดีอีเอส) แม้ว่ากรรมการ กสทช. 4 คน จะทักท้วงแล้ว แต่ก็ไม่ฟัง
5. ไม่บรรจุวาระสำคัญเข้าสู่การพิจารณา ทำให้ภารกิจต้องหยุดชะงักในหลายเรื่องเช่น (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการปรับปรุงประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2561 (ประกาศฯ ปี 2561) และ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการปรับปรุงประกาศ กทช.ที่เคยสร้างปัญหาในการตีความกรณีควบรวมธุรกิจมาก่อนหน้า และ 6.กำหนดนัดวันประชุม กสทช. เอง โดยไม่ปรึกษา กสทช. และแจ้งกำหนดวันประชุมล่วงหน้ากระชั้นชิด รวมถึงการนัดประชุมในวันที่ทราบอยู่แล้วว่ากรรมการบางคนติดภารกิจ
“จากพฤติกรรมของประธาน กสทช. ดังที่กล่าวมา ทำให้การดำเนินงานของ กสทช. ในลักษณะของคณะกรรมการมีความติดขัด ซึ่งมิใช่เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัวแต่ประการใด เพียงแต่ กสทช. 4 คน ยืนยันว่า ต้องปฏิบัติภารกิจ ทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ด้วยความถูกต้อง คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ ผลประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ มิใช่ตามความสะดวกหรือความพึงพอใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ”
สะท้อนให้เห็นถึงสภาพภายในองค์กร กสทช. ที่ยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง มีการฟ้องร้องกันอิรุงตุงนังจนไม่รู้ใครเป็นใคร หรือใครปกป้องผลประโยชน์ให้แก่องค์กร หรือผลประโยชน์สาธารณะกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ทำให้เส้นทางการขับเคลื่อนองค์กร กสทช.ในเวลานี้แทบจะกล่าวได้ว่า “ไปไม่เป็น” จนไม่เป็นอันได้พิจารณาอะไรกันแล้ว
เห็นได้จากกรณีล่าสุด ที่องค์กรเพื่อผู้บริโภค และประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ออกโรงสับเรื่องของคุณภาพบริการมือถือ และอินเตอร์เน็ตภายหลัง กสทช. ไฟเขียวดีลควบรวม “ทรู-ดีแทค” ที่มีการหลอมรวมกันเบ็ดเสร็จตั้งแต่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งพบว่า คุณภาพอินเทอร์เน็ต และสัญญาณมือถือลดลง ไม่สมราคา แถมยังมีการดอดปรับขึ้นค่าบริการผ่านแพ็คเกจที่ผู้ให้บริการ ”มัดมือชก” เอากับผู้บริโภคเอาด้วยอีก
แต่แทนที่ สำนักงาน กสทช. จะออกโรงตรวจสอบอย่างถึงพริกถึงขิง ก็กลับชักแถวออกมาแถลงข่าวปกป้องค่ายมือถือที่ตกเป็นข่าวอย่างออกหน้าออกตา จนทำเอาผู้คนในสังคมพากันกังขา ตกลงองค์กร กสทช. ทำหน้าที่อะไรกันแน่
และเมื่อมีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. ซักไซร้ไล่เลียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง ผลกลับออกมาเป็น “หนังคนละม้วน” เพราะผู้บริหารสำนักงาน กสทช. ไม่สามารถจะแสดงเอกสารหลักฐานการ “การันตี” คุณภาพบริการที่ตนเองแอ่นอกปกป้องมาก่อนหน้านั้นได้ จนบอร์ด กสทช. ตีกลับให้กลับไปรวบรวมข้อมูลมาสนอใหม่ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันดูว่า สุดท้ายแล้วองค์กร กสทช.แห่งนี้จะเดินไปอย่างไร
เห็นความขัดแย้งภายในองค์กร กสทช. ภายใต้บอร์ดที่มี “สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” เป็นประธานแล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่า ประชาชนผู้บริโภค จะคาดหวังอะไรได้จากองค์กรนี้ได้อีก องค์กรที่มีเม็ดเงินค่าธรรมเนียมที่เก็บมาจากประชาชนผู้บริโภค (ในชั้นสุดท้ายนั่นแหล่ะ) ปีละนับหมื่นล้าน แต่ถูกใช้ไปอย่างสม “คุณค่า” หรือไม่ ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี
เสียงสะท้อนผ่านสื่อเป็นรายวันที่ออกมานั้น สำหรับประชาชนผู้บริโภคแล้ว ก็ได้แต่ปลงรอว่า เมื่อไหร่จะตบเท้า “ไขก๊อก” กันไปเสียทีเท่านั้นแหล่ะ จริงไม่จริง!!!
แก่งหิน เพิง