แค่โดนกระตุกหนวดเสือระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายรัฐบาลเพียงแค่ 2 วัน ประชาชนคนไทย ก็ได้เห็นทาสแท้ของผู้นำประเทศที่ทั้ง ชี้หน้าด่ากราด เห็นอาการน็อตหลุด-ปรี๊ดแตก ตลอดจนสบถ-ผรุสวาทของผู้นำประเทศที่คุมสติสตังค์ไม่อยู่...
นี่ขนาดโดนนักการเมืองระดับพื้นๆ ธรรมด๊า ธรรมดาสัพยอกจิกกัดไปไม่กี่น้ำ นายกรัฐมนตรียังเกิดอาการ “ปรี๊ดแตก” ได้ถึงเพียงนี้ หากเจอรุ่นใหญ่ไฟกระพริบ อภิปรายแบบจัดเต็มแบบข้ามวัน ข้ามคืน มีหวังนายกฯ “ลุงตู่” ของมวลมหาประชาชนคงอกอีแป้นแตกตายกลางสภาเป็นแน่
เรื่องของการซักฟอก ถลกหนังหัวทางการเมืองที่ถือเป็นวิถีแห่งการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็คงต้องปล่อยให้ว่ากันไปตามวิถี
แต่เรื่องของการตรวจสอบประเด็นอื้อฉาวต่างๆ ที่เป็นควันหลงจากการอภิปราย โดยเฉพาะเรื่องของการตรวจสอบโครงการไม่ชอบที่กำลังระอุแดดอยู่หลายต่อหลายโครงการนั้น เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ไล่ดะมาตั้งแต่ ”ค่าโง่ทางด่วน กทพ.” หรือการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ไม่รู้ไปทำสัญญาสัมปทานหรือบริหารสัญญาสัมปทานกันอีท่าไหน แต่ละโครงการที่ให้สัมปทานกันออกไปล้วนถูกบริษัทเอกชนคู่สัญญาลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวเรียกเงินชดเชยกันเป็นว่าเล่น
ไม่ใช่แค่ 100-200 ล้าน แต่ว่ากันเป็นหมื่นล้านแสนล้านกันเลยทีเดียว (อ่านไม่ผิดหรอกเป็นแสนล้านจริงๆ)!!!
นัยว่าเฉพาะ “ค่าโง่” ที่มาอยู่ในมือ กทพ. เวลานี้ก็มากกว่า 1.37 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว เอาเฉพาะค่าโง่ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินชี้ขาดไปแล้ว
ล่าสุดให้ กทพ. ต้องชดเชยให้แก่บริษัทเอกชนคู่สัญญาคือ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM นั้น ก็มากกว่า 4,300 ล้านบาท ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง และโดยเฉพาะในชั้นอนุญาโตตุลาการอีกนับสิบคดี วงเงินชดเชยกว่าแสนล้านบาท
ทำเอา กทพ. จนตรอกถึงกับยอมประเคนขยายสัมปทานทางด่วนในมือไปให้กับบริษัทเอกชนคู่สัญญาถึง 30 ปี แต่ที่ยังคาราคาซังยังปิดดีลกันไม่ลง ก็เพราะถูกสหภาพรัฐวิสาหกิจ กทพ. รวมทั้งเครือข่ายในภาคประชาชนร้องแรกแหกกระเชอให้รัฐบาลและสภาผู้แทนได้ลงไปตรวจสอบ
ล่าสุดทางสภาผู้แทนฯ ได้แต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบค่าโง่ที่ว่านี้กันไปแล้วจะออกหมู่หรือจ่าคงได้เห็นกันในเร็ววันนี้แน่ และคงจะมีการไล่เบี้ยใครที่ทำให้เกิดค่าโง่เหล่านี้กันมาลงโทษหรือรับผิดชอบกันตามมาเป็นพรวน
นอกจากกรณีค่าโง่ทางด่วน กทพ. แล้ว ยังมีอีก 2-3 โครงการที่รัฐมนตรีว่าการคมนาคมคนใหม่ และสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะพลพรรคฝ่ายค้าน ที่ถือเป็นความหวังของประชาชนคนไทยเวลานี้สมควรจะ ”ล้วงลูก” เข้ามาตรวจสอบเป็นการเร่งด่วน ก่อนจะจบลงด้วย “ค่าโง่” ตามมาอีกโครงการ
นั่นก็คือ โครงการ ”รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)” มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมกำลังโมแป้งอยู่ หลังจากเพิ่งเสียรู้เสียค่าโง่ไปให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาในโครงการทางรถไฟและถนนยกระดับโฮปเวลล์ มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท
แม้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อนจะไฟเขียวให้การรถไฟฯ เร่งรัดลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการดังกล่าวกับกลุ่มทุนยักษ์ คือ บริษัท ซี.พี.โฮลดิ้ง และพันธมิตร แต่ก็เป็นการดำเนินการแบบ “ทิ้งทวน” ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือในช่วงรัฐบาลรักษาการก็ว่าได้ ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากหลายภาคส่วน
โดยเฉพาะจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟฯ และกลุ่มผู้ปฏิบัติงานการรถไฟฯ เองที่ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐและกระทรวงคมนาคมเปิดเผยรายละเอียดสัญญาที่การรถไฟฯ และบริษัทเอกชนมุบมิบๆ จะลงนามกัน
ด้วยเห็นว่าขืนปล่อยไปมีหวังการรถไฟฯ ลุยกำถั่วไปแบบนี้ ท้ายที่สุดก็คงจะจบลงด้วยค่าโง่จากการที่ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ เอาว่าแค่ประเด็นในเรื่องของการเวนคืนและส่งมอบที่ดินที่มีอยู่นับพันแปลงในมือนั้น การรถไฟฯ เอง ก็เคยมีประสบการณ์มาเป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ บางพื้นที่อาจต้องใช้เวลากันเป็น 5 ปี 10 ปี ไหนจะท่อน้ำมัน ท่อก๊าซจะให้ใครรับผิดชอบหากต้องรื้อย้าย ไหนจะเรื่องเงินสนับสนุนโครงการ ดอกเบี้ยปรับอะไรทั้งหลายแหล่ที่คนรถไฟนั้นล้วนแล้วแต่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องเหล่านี้กันมาก่อน จึงมีแนวโน้มที่โครงการนี้จะจบลงด้วยค่าโง่มากที่สุด
ล่าสุด ยังมีโครงการทิ้งทวนของ กทม. อีก2 โครงการ นั่นคือ ”โครงการเตาเผาขยะ กทม. มูลค่า 13,000 ล้านบาท” และ ”โครงการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท”..
โดยโครงการแรกนั้น กทม. มีการดำเนินการซุ่มเงียบประกวดราคากันไปจนถึงขั้นมีการชงเรื่องจะให้ผู้ว่า กทม. เห็นชอบกันอยู่แล้ว
แต่เรื่องมาแตกโพล๊ะขึ้นมา เพราะ 2 รองผู้ว่าฯ กทม. นายจักกพันธ์ ผิวงาม และนายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ ที่ต้องรับหน้าเสื่อเป็นผู้ลงนามในสัญญาโครงการนั้นชิง “ไขก๊อก” ลาออกจากตำแหน่งเสียก่อนพร้อมกันถึง 2 คน ทำให้สังคมพากันตื่นตะลึงต่างหันมาจับจ้องโครงการนี่กันไม่กระพริบ
ส่วนโครงการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของ กทม. วงเงินกว่า 25,000 ล้านบาทนั้น กทม. ได้มอบหมายให้วิสาหกิจในสังกัดคือ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) เป็นผู้ดำเนินการตามนโยบายการจัดระเบียบสายสื่อสารระโยงระยางให้เกิดความเป็นระเบียบ และเกิดความปลอดภัยแก่ประชาชน
แต่ไม่รู้ กทม.และเคที ไปทำกันอีท่าไหน แทนที่จะเป็นการดำเนินการเองก็กลับมุบมิบเตรียมประเคนโครงข่ายท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินที่ว่านี้ ไปให้บริษัท ทรูอินเตอร์เน็ต ในเครือกลุ่มทรูคอร์ป ซึ่งก็คือกลุ่มทุนซี.พี.อีกนั่นแหล่ะ “กินรวบ” โครงการนี้ไปอีกถึง 30 ปี โดยอ้างว่าเป็นแค่การหาบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้บริการหลักเท่านั้น ไม่ได้ให้สัมปทาน
ทั้งที่ กทม.และเคที มีใบนุญาตที่ได้รับจาก กสทช. แค่ 15 ปีเท่านั้น แต่กลับดอดไปทำสัญญาสัมปทานประเคนให้บริษัทเอกชนไปถึง 30 ปี เอากับพ่อซิ!
ทำเอาบริษัททีโอที และ กสท. โทรคมนาคม ตลอดจนบริษัทสื่อสารนับสิบรายที่ให้บริการสายสื่อสารอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ พากันตบเท้าเข้าร้องแรกแหกกระเชอกันให้วุ่น
เพราะแผนของ กทม. นั้นไม่ใช่แค่จะก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินเท่านั้น ยังมุบมิบๆ ออกประกาศกรุงเทพมหานครให้ “รื้อทิ้ง” บรรดาสายสื่อสารระโยงระยางของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งที่ไม่ใช้แล้วหรือที่ให้บริการอยู่เพื่อบีบให้ไปใช้โครงข่ายท่อร้อยสายของ กทม. ที่ผูกปิ่นโตให้เอกชนรายเดียวผูกขาด
ในขณะที่รัฐบาลยังมะงุมมะงาหราจะเริ่มต้นบริหารงานกันตรงไหนอย่างไรกันดี เพราะหลังเสร็จศึกแถลงนโยบายรัฐบาลที่กลายมาเป็นรายการซักฟอกรัฐบาลเรียงตัว จนทำเอารัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกฯ ถึงกับเมาหมัดแทบกลับบ้านไม่ถูกนั้น
ก็แว่วๆ ว่าทั้ง กทม. เคที และบริษัททรูอินเตอร์เน็ตกำลังซุ่มเงียบเตรียมชิงเซ็นสัญญากันให้รู้แล้วรู้แร่ดในสัปดาห์นี้ให้ได้!
ก็คงต้องจับตาโครงการอื้อฉาวข้างต้นเหล่านี้ “รัฐบาลร้อยพ่อพันธ์แม่หรือรัฐบาลกิ้งกือ” ชุดนี้จะกล้ารื้อหรือล้วงลูกลงไปตรวจสอบ ทำความจริงให้กระจ่างดังที่ผู้คนคาดหวังหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่รัฐบาลกิ้งกือที่เอาแต่เอื้อเจ้าสัว ดังที่ฝ่ายค้านสัพยอกให้ไปวันวานหรือไม่!
โดย แก่งหินเพิง