ถูกใจอิแม่ดีแท้....
กับผลสำรวจ “ซูเปอร์โพล” ล่าสุดที่ออกมาสัปดาห์ก่อน คนไทย 27 ล้านคนกำลัง “หืดจับ-หายใจไม่ทั่วท้อง” กระเป๋าฉีกเข้าขั้นวิกฤติ จากผลพวงการหักดิบ “ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโนบาย” ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของนายกฯ เศรษฐา ในฐานะ รมว.คลัง ที่ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับ ธปท.
…
ทำเอาหนี้เสีย ทั้งบ้าน-รถยนต์พุ่งกระฉูด! นัยว่าเวลานี้หนี้เสียในระบบบานทะโร่ไปกว่า 1.6 ล้านล้านไปแล้ว สมใจอยาก ฯพณฯ ท่านนายกฯ เศรษฐา (ที่เขาว่าเราจะเป็นเศรษฐี) กันหละงานนี้...
จะได้ผลักดันนโยบายแจกเงินหมื่นผ่านโครงการ Digital wallet สมใจอยากกันเสียที!
แต่กระนั้น ก็อย่าเพิ่งคาดหวัง ดีใจราวถูกหวยรางวัลที่ 1 เพราะแค่จะผลักดันให้ ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสักสลึง จากที่ติดอยู่บนยอดดอย 2.5% มาตั้งแต่ปลายปีก่อนยังทำไม่ได้ แล้วจะไปคาดหวังอะไรกับการกระเตง พ.ร.บ.(พรก.) เงินกู้ตั้ง 500,000 ล้าน ที่ต้องผ่าน “ปราการเหล็ก” อีกไม่รู้กี่ชั้น
แถมยังมีรายงาน ป.ป.ช. ที่อ่านกี่รอบกี่เที่ยว ก็มีแต่ “ชี้ช่อง-ชี้โพรงให้กระรอก” เปิดทางบรรดา “นักร้อง” ให้เข้ามา “กระตุกเบรก” นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลได้ทุกเวลา
จะว่าไปหนทางในอันที่จะลด “แรงกดดัน” ที่จะทำให้รัฐบาลลุยไฟนโยบาย Digital Wallet ไปพร้อมๆ กับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง ตาม “หมายเหตุแนบท้าย” ของ ธปท. และ ป.ป.ช. นั้นก็มีอยู่
นั่นก็คือ..การ “ปัดฝุ่น” ลุยโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างขีดเความสามารถในการแข่งขัน สร้าง Competitiveness ให้กับเศรษฐกิจไทย
ซึ่งจะว่าไปรัฐบาลก็มีอยู่ “เต็มหน้าตัก” !
ไล่ดะมาตั้งแต่
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่เฟส 1 กรุงเทพ-โคราช ระยะทาง 253 กม. ยัง “อืดเป็นเรือเกลือ” เปิดหวูดก่อสร้างกันมากว่า 6 ปี เพิ่งจะมีความคืบหน้าไปได้แค่สัญญาเดียว (จาก 14 สัญญา) หรือคืบหน้าแค่ 20-25% เท่านั้น “เต่ายังเรียกพี่”
ขืนยังปล่อยไปตาม “ยถาวาริวหา” แบบนี้ก็ไม่รู้จะต้องหาวเรอรอไป พ.ศ.ไหน ถึงจะแล้วเสร็จ และแทบไม่ต้องไปฝันถึงโครงการในเฟส 2 โคราช-หนองคาย ระยะทาง 356 กม. ที่จะไปเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูง ลาว-จีน ที่ก่อสร้างมาพร้อมกับไทยเรา แต่ของเขานั้นเปิดให้บริการกันไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน 2565 แล้ว
2. โครงการรถไฟความเร็วสูง “ไฮสปีดเทรน” เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.24 แสนล้าน ที่การรถไฟแห่งประเทสไทย (รฟท.) ให้สัมปทานแก่ บริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด ของกลุ่มทุนเจ้าสัว ซีพี. ตั้งแต่ปีมะโว้ 2562
แต่ผ่านมาจนวันนี้กว่า 4 ปีเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่เริ่มต้นก่อสร้าง จ่อทำท่าจะเจริญรอยตามโครงการโฮปเวลล์ในอดีตไปอีกโครงการ ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งแท่นจะฟัดกันนัวโยนกลองกันวุ่นถึงต้นเหตุที่ทำให้โครงการล่าช้า
โดยฟากฝั่ง รฟท. ก็อ้างว่าได้ส่งมอบที่ดินในเส้นทางก่อสร้าง 3,500 ไร่ ไปเกือบ 100% แล้ว ส่วนที่ดิน 150 ไร่สถานีมักกะสันที่เป็นส่วนสนับสนุนก็ส่งครบ 100%
แต่ฟากฝั่งเอกชนก็อ้างว่า ยังไม่ได้รับมอบ เพราะที่ดินที่ส่งมอบยังติดปัญหาลำรางสาธารณะ ต้องให้ รฟท. เคลียร์หน้าเสื่อให้เรียบร้อย เพราะมีผลต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับโครงการ จึงทำให้ รฟท. ไม่สามารถจะออกหนังสือสั่งให้เอกชนเริ่มต้นก่อสร้างได้ รวมทั้งจะตัดสินใจบอกเลิกสัญญาสัมปทานก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เลยจ่อจะกลายเป็นมหากาพย์ที่ทำเอาโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน วนอยู่ในอ่าง ล่าสุดเท่าที่สดับตรับฟังวงการรับเหมาก็ยืนยันว่า “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ยังคงยืนยันความตั้งใจที่จะลุยไฟโครงการนี้ ขอเพียงให้รัฐบาลมีความจริงใจในการสนับสนุนโครงการเท่านั้น
3. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก 2.9 แสนล้าน อีกโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในมือกระทรวงคมนาคม ที่ยังคงรอความชัดเจนด้านนโยบายจากรัฐบาล รวมทั้งความชัดเจนของกระทรวงคมนาคม ต่อการผลักดันท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 คือ สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก
เพราะหากภาครัฐและคมนาคมยังคงหวนกลับไป “ปัดฝุ่น” เดินหน้าขยายศักยภาพท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และดอนเมืองเต็มสูบ ตามที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT ป่าวประกาศออกมาล่าสุดที่จะเดินหน้าขยายอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออก East Expansion
ทั้งยังมีแผนขยายอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันตก West Expansion อาคารผู้โดยสารฝั่งใต้อีกนับแสนล้าน เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคน ขณะที่สนามบินดอนเมือง ก็มีแผนก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศในเฟส 3 อีกกว่า 36,000 ล้านบาท เพื่อให้รองรับผู้โดยสารไปได้ถึง 50-60 ล้านคน
โดยที่นายกฯ เศรษฐา (ที่เขาว่าเราจะเป็นเศรษฐี) ยังประกาศนโยบาย Aviation Hub หนุนการลงทุนขยายศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองเต็มหน้าตักเช่นนี้
สิ่งเหล่านี้ ย่อมทำให้เมืองการบินตะวันออก และโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ก็มีสิทธิ์เอวัง จะสร้างไปให้ใครใช้หรือ?
4. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1.42 แสนล้าน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่เปิดประมูลกันมาตั้งแต่ปี 63 ผ่านมากว่า 3 ปี ก็ยังปิดบัญชีไม่ลง
แม้ รฟม. จะตั้งแท่นเสนอผลประกวดราคา ที่อ้างว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้ชนะประมูลเพื่อให้กระทรวงคมนาคม เสนอผลประกวดราคาต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสียที แต่จนแล้วจนรอดผ่านมากว่า 5 เดือน กระทรวงคมนาคมก็ยังไม่กล้าลุยไฟ
เพราะทุกฝ่ายรู้สาแก่ใจกันดีว่า ที่มาที่ไปการประมูลโครงการนี้โปร่งใสกันแค่ไหน เอาว่าขนาดที่ประชุมศาลปกครองสูงสุดยังถูกลากลงมา “แปดเปื้อน” ไปกับโครงการนี้ ถึงขนาดที่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดออกมาแล้ว ก็ยังไม่มีใครกล้าเอาคอไปพาดเขียงกระเตงโครงการเดินหน้าต่อ ถึงได้ค้างเติ่งคาราคาซังมายังรัฐบาลชุดนี้ได้
ล่าสุดนัยว่า โครงการนี้กำลังทำให้กระทรวงคมนาคม “แตกดังโพล๊ะ” จากความขัดแย้งปัดแข้งปัดขากันเอง ระหว่าง นายสุรพงษ์ วิเชียรโชติ รมช.คมนาคม ที่กำกับดูแล รฟม. กับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เพราะแต่เดิม นายสุรพงษ์ มีนโยบายให้ รฟม. ยกเลิกผลประกวดราคาเพื่อดำเนินการเปิดประมูลใหม่
รวมทั้งมีแผนจะปรับเปลี่ยนบอร์ด รฟม.ยกชุด ตามรอยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ แต่ไม่รู้มือมืด Invisible Hand จากไหนสอดมือเข้ามาขวางลำ ทำให้นายสุริยะลุกขึ้นมาขวางลำ แถมยังตั้งแท่นจะเสนอผลประมูลเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อเดินหน้าโครงการนี้ จึงทำให้การปรับเปลี่ยนบอร์ด รฟม. และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยังคง “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” ไม่ขยับไปไหน
“จะเดินหน้าต่อ หรือพอแค่นี้” จึงอยู่ที่ นายกฯ เศรษฐา (เราจะเป็นเศรษฐี) ที่คงต้องลงมาเคาะโต๊ะด้วยตัวเองแล้ว เพราะจะไปคาดหวังให้ รมต.คมนาคม เป็นผู้ตัดสินใจก็เห็นทีว่าไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว ผ่านมากว่า 5 เดือนเข้าไปแล้ว ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทั้งที่น่าจะเป็นผู้ที่รู้ตื้นลึกหนาบางโครงการนี้ดีกว่าใคร?
5. อีกเมกะโปรเจ็กต์ ที่สามารถ Drive เศรษฐกิจให้เติบโตไปได้ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุน ก็คือ การผลักดันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมให้เดินหน้าเต็มสูบ เช่นในอดีตเมื่อปี 2563 ที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตจากไวรัสโควิด -19
แต่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมบ้านเรากลับเติบโตสวน เป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเวลานั้น เพราะมีการจัดประมูลคลื่นความถี่ 5G ใน 3 คลื่นหลัก คือ 700 MHz 2600 ,MHz และ 26 GHz ที่ไม่เพียงจะนำเงินเข้ารัฐได้มากกว่า 1 แสนล้านบาท ทั้งยังก่อให้เกิดการลงทุนในโครงขายโทรคมนาคม 5G ตามมาอีกนับแสนล้าน และมีส่วนในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แต่หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ชุดปัจจุบันเข้ามาทำหน้าที่ แทนที่อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม จะเติบใหญ่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็กลับฉุดรั้งให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไร้ทิศเสียเอง
การปรับโครงสร้างองค์กรกำกับดูแล เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการไหลบ่าเข้ามาของ Platform ใหม่ ๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นนานแล้วยังคงไม่มีความคืบหน้า การแสวงหาหนทางในอันที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังคงไม่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะองค์กรกำกับดูแล คือ กสทช. เต็มไปด้วยความขัดแย้ง จึงทำให้การขับเคลื่อนนโยบายสื่อสารโทรคมนาคม ตลอดจนกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ของไทยไร้ทิศไม่เดินหน้าไปทางไหนเสียที
ส่วนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ “แลนด์บริจด์” มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาทนั้น ยังเป็นเรื่องไกลตัวที่รัฐจะทุ่มเทลงไปให้การสนับสนุนในเวลานี้ เอาแค่หวนกลับมาผลักดันโครงการที่มีอยู่เต็มหน้าตัก 5 โครงการข้างต้นเหล่านี้ ให้เป็นรูปธรรม ก็สามารถสร้าง competitiveness ของประเทศไทย เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ หลังจากที่ห่างหายไปนานนับ 10 ปี ทั้งยังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนที่เป็น FDI อย่างแท้จริง หลังจากที่ในระยะหลายปีที่ผ่านมานั้น การลงทุนเริ่มบ่ายหน้าไปยังเวียดนาม และอินโดนีเซีย ก่อนไทย
ที่สำคัญยังทำให้แรงกดดันที่มีต่อการดำเนินนโยบาย Digital Wallet ลดลงไปได้
แต่หากรัฐบาลยังคงมะงุมมะงาหราอยู่เช่นนี้ แม้จะล่วงเลยมาถึง 6 เดือนแล้ว โครงการเมกะโปรเจ็กต์เต็มหน้าตักที่กองสุมอยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ยังไม่ขยับไปไหนได้สักโครงการ ไม่เพียงจะไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดึงการลงทุนกลับมาได้
ตัวรัฐบาลเองนั่นแหล่ะจะถูกสับ ว่า “เสียของ” และอาจทำให้ไทยต้องสูญเสียการลงทุนไปให้เพื่อนบ้านอย่างถาวร