คณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ เตรียมยื่นฟ้องแพ่ง “บริษัทเอกชน” และฟ้องกรมประมงเป็นคดีปกครองจากกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำใน 17 จังหวัด ดีเดย์ 16 สิงหานี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ และคณะทำงานสำนักงานคดีปกครอง ร่วมแถลงข่าวเตรียมดำเนินการยื่นฟ้อง บริษัทเอกชนในคดีแพ่ง คือ ข้อมูลงานวิจัย 2 ฉบับ ของกรมประมง ซึ่งมีรายงานผลการศึกษา จุดที่พบการระบาดของปลาหมอคางดำเมื่อปี 2554 และดีเอ็นเอของปลาหมอคางดำ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะแยกดำเนินคดีแบบกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งในบ่อ และกลุ่มผู้หาปลาธรรมชาติ เพื่อเรียกค่าเสียหาย หลังพบว่าทรัพยากรธรรมชาติได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ โดย อาศัย พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433
นอกจากนี้ยังระบุว่า จะฟ้องดำเนินคดีปกครองกับหน่วยงาน ที่อนุญาตให้นำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อมาวิจัย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย พร้อมทั้งร้องขอให้ศาลเร่งรัฐให้กรมประมง เรียกค่าเสียหายจากบริษัทเอกชน
ขณะที่ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ระบุว่า จากการรวบรวมหลักฐาน เพื่อยื่นฟ้องทั้ง 2 คดี พบว่ามีน้ำหนักมากพอที่จะยื่นฟ้องก่อนวันที่ 16 ส.ค.นี้ ส่วนกรณีที่รัฐบาล ประกาศจะนำเงินมาแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำจำนวน 450 ล้านบาท ชาวบ้านระบุว่า เงินจำนวนนี้อาจไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา เนื่องจากหลายคนประสบปัญหานี้มานานกว่า 10 ปี
จึงอยากร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย พิจารณาประกาศเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อนำงบประมาณของกระทรวงการคลัง มาช่วยเหลือ เนื่องจากมองว่าการฟ้องร้องคดีแพ่งกับบริษัทเอกชน ใช้ระยะเวลานาน อาจจะไม่ทันกับวิกฤตปัญหาเร่งด่วน
นอกจากนี้สภาทนายความยังออกแถลงการณ์ กรณีปลาหมอคางดำ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด “ปลาหมอคางดำ” ที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ “หลุดรอดเข้าฟาร์มเพาะเลี้ยงกินสัตว์น้ำตัวอ่อนกุ้ง และปลา” สร้างความเสียหายให้เกษตรกรเป็นวงกว้างแล้วอย่างน้อย 16 จังหวัดในขณะนี้ กลายเป็นปัญหาใหญ่ กระทบและทำลายความหลากหลายของระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย และลุกลามลงสู่ทะเล ด้วยลักษณะเฉพาะปลาชนิดนี้สามารถปรับตัว “ทนทุกสภาพแวดล้อม” ทำให้ปลาท้องถิ่นถูกกินเป็นอาหารลดจำนวนลงแล้วปลาหมอคางดำนี้ก็จะเป็นปลาหลักในแหล่งน้ำนั้นแทน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคการประมง
จากสถานการณ์ที่ระบบนิเวศกำลังเผชิญ แนวทางในการแก้ปัญหาตามหลักสากลทั่วโลก คือผู้ก่อปัญหาต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ การจัดการปัญหาปลาหมอคางดำระบาด ถ้าหากเลี้ยงแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ควรจัดการอย่างไรแต่อาจเกิดการละเลยของผู้ที่นำเข้า หรือว่าเกิดความผิดพลาดของผู้ทดลองเลี้ยง จึงเกิดปัญหาขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่นำเข้าควรเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่าย ในการกำจัดปลาหมอคางดำ เป็นเจ้าภาพในการกำจัดจนกระทั่งเหลือปลาตัวสุดท้าย ต้องมีแผนจัดการในพื้นที่ระบาดหนักและหาทางควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดในอนาคตอีก และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย
"กรณีนี้ ทั้งบริษัทผู้นำเข้า และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องร่วมกับผิดชอบในความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อรับผิดชอบการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ความหละหลวมไม่มีมาตรการควบคุมที่ดี ปล่อยให้มีการนำเข้าจนมาสู่การระบาดของปลาหมอคางดำ เอกชนผู้นำเข้า และภาครัฐจึงมีหน้าที่ต้องแก้ไขผลกระทบจากปลาหมอคางดำระบาด ต้องมีการเร่งรัดให้แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และบริษัทเอกชน ที่นำพันธุ์ปลาเข้ามาในประเทศ ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ"
ด้วยเหตุนี้ สภาทนายความได้จัดตั้งคณะทำงานลงตรวจพื้นที่และข้อเท็จจริง หาคนมารับผิดชอบกรณีต้นเหตุการนำเข้าปลาหมอคางดำ และการทำลายปลาหมอคางดำว่าเหตุใด จึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ได้ จากนั้นจะฟ้องร้องทั้งคดีปกครอง คดีแพ่ง เพื่อให้เอกชนและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องรับผิดและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น แก่ผู้ได้รับผลกระทบ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ระบบนิเวศ