การเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i รถยนต์ Super SUV Hybrid ขนาดใหญ่ของค่าย BYD ที่ถือเป็นรถยนต์ "ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid)" รุ่นแรกที่ผลิตจากโรงงานบีวายดีในประเทศไทย ด้วยราคาสุดเร้าใจ 939,900 บาท.. สั่นสะเทือนเลือนลั่นวงการรถยนต์ทันที
…
กำลังเป็น Talk of the Town ที่ทำเอาตลาดรถยนต์ EV และอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยสะเทือนเลือนลั่นกันไปทั้งบาง
กับการเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i รถยนต์ Super SUV Hybrid ขนาดใหญ่ของค่าย BYD ที่ถือเป็นรถยนต์ "ปลั๊ก-อินไฮบริด - Plug-in Hybrid" รุ่นแรกที่ผลิตจากโรงงานบีวายดีในประเทศไทย
ไม่เพียงมิติของ BYD SEALION 6 DM-i ตัวนี้จะเป็น C-SUV ขนาดใหญ่เทียบเท่า CRV หรือ Fortuner เท่านั้น แต่สนนราคาที่ค่ายเรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดตัวออกมาล่าสุดสำหรับรุ่น Dynamicที่ 939,900 บาท ที่พร้อมจะส่งเดือนตุลาคมนี้
เป็นราคาที่ทำเอาตลาดรถยนต์เมืองไทยสั่นสะเทือน!
เพราะไม่เพียงจะเบียด CRV หรือ Fortuner หรือเอสยูวีค่ายอื่นใดๆ ในระดับเดียวกันแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว ราคา BYD SEALION6 ที่ว่านี้ ยังโดดลงไปเล่นกับตลาดรถขนาดกลางและซับคอมแพ็คอย่าง Corolla Cross และ HRV โดยตรงอีกด้วย
เรียกได้ว่าไซส์ใหญ่กว่า แต่สนนราคาถูกกว่า แบบนี้ไม่กวาดเรียบก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ลำพังแค่หั่นราคา BYD ATTO 3 ก่อนหน้าลงไปไม่รู้กี่ระลอก จนกดราคาเจ้า BYD ATTO3 ในรุ่น Extended Range จาก 1,199,900 บาท เหลือเพียง 859,900 บาท และในรุ่น Standard Range จาก 1,099,900 บาท เหลือเพียง 799,900 บาทก่อนหน้านี้ ก็ทำเอาตลาด EV ด้วยกัน และค่ายรถยนต์สันดาบอื่นๆ หายใจไม่ทั่วท้องกันอยู่แล้ว
เมื่อ BYD ลากเอาตัว Super SUV ตัวใหญ่บิ๊กบึ้มนี้ แถมยังยัดเอาเครื่อง 1.5 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าใส่ลงไปก่อนรีดกำลังเครื่องยนต์ออกมาถึง 218 แรงม้า ที่เหนือกว่าเจ้า CRV eHEV ที่มีพละกำลังเพียง 208 แรงม้า แต่สนนราคาห่างกันเท่าตัวเช่นนี้
แถมยังลงไปไล่ถล่มราคาตลาดรถขนาดกลางด้วยเข่นนี้ มันจึงจึงยิ่งเป็นการทุบตลาดรถยนต์เมืองไทยทั้งตลาดรถใหม่ และรถยนต์มือ 2 ให้ด่าวดิ้นกันลงไปทันที
การเปิดตัวเจ้า BYD SEALION6 Plug-in Hybrid ที่ว่านี้ไม่เพียงจะตอโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันที่ทุกฝ่ายเฝ้ารอและเพรียกหาอยู่เท่านั้น
แต่นี่คือ "คำตอบสุดท้าย" ของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้ง EV และรถยนต์สันดาบที่มาบรรจบกัน และเป็นการส่งสัญญาณการทำสงครามตลาดที่แต่ละค่ายคงจะงัดลูกเลนออกมาห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงนับจากนี้
ผู้คว่ำหวอดในอุตสาหกรรมรถยนต์ กล่าวกับเราว่า ตลาดรถยนต์ Plug-in Hybrid นั้นน่าจะตอบโจทย์ที่ทุกฝ่ายเพรียกหา เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่แท้จริง โดยหากวันๆ หนึ่ง เราใช้รถยนต์ทำงานอยู่แต่ในกรุงเทพฯ ขับรถไปทำงานไม่เกิน 30-50 กม.แล้ว การใช้รถยนต์ Plug-in Hybrid ก็จะใช้แต่โหมดไฟฟ้า เครื่องยนต์แทบไม่ต้องทำงาน เพราะชาร์จไฟบ้านมาเต็มอยู่แล้ว
แต่เมื่อต้องเดินทางไกลไป ต่างจังหวัดก็ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องหาที่ชาร์จแบตแบบรถ EV ทั้งหลาย เพราะระบบไฮบริดที่ว่านี้ถึงไฟหมดก็ยังมีเข้าเครื่องยนต์ทำงานแทนและทำการชาร์จไฟเข้าแบตได้อีก จึงหมดห่วงเรื่องหาที่ชาร์จหรือสถานีชาร์จแบต
เชื่อแน่ว่า หลังจากนี้ค่ายรถยนต์อื่นๆ ทั้ง EV และระบบสันดาบจะโหมมาพัฒนารถยนต์ Plug-in Hybrid และคงจะงัดกลยุทธ์ด้านราคาออกมาห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงต่อเนื่องอย่างแน่นอน
อดใจรอไม่เกิน 3-6 เดือนจากนี้ ตลาดรถยนต์เมืองไทยกระเพื่อมอีกแน่!!!
แก่งหิน เพิง