
ความพร้อมของภาคธุรกิจไทยต่อการใช้ Gen AI ผ่านเลนส์ SMEs
การเข้ามาของเทคโนโลยี Gen AI นับเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะผลักดันให้เกิดการนำไปใช้เป็นวงกว้างเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมดังที่กล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ดี การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ คำถามสำคัญคือ ในปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และแรงงานไทย และได้เตรียมแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี Generative AI ที่จะส่งผลกระทบทั่วโลกรุนแรงขึ้นกว่าเทคโนโลยียุคก่อน ๆ ทั้งในมิติขนาดและความเร็วได้อย่างไร
SCB EIC ได้ทำการสำรวจข้อมูลความพร้อม การปรับตัว และความต้องการสนับสนุนของภาครัฐต่อการใช้ Generative AI ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ครอบคลุมหลากหลายสาขาธุรกิจ ในช่วงวันที่ 18 - 25 เมษายน 2024 โดยมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 124 ราย ประกอบกับผลสำรวจจากการประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ประกอบการเหล่านี้ 12 ราย ผลสำรวจสรุปได้ 3 มิติ ดังนี้
1. ความพร้อมของธุรกิจ SMEs
การนำเอา Gen AI มาใช้งานในกลุ่มธุรกิจ SMEs ยังมีไม่ถึงครึ่ง คิดเป็นเพียงกว่า 40% ของจำนวนผู้ประกอบการที่ตอบแบบสำรวจ แม้เทคโนโลยี Generative AI จะถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลายทำให้ภาคธุรกิจไทยเริ่มรู้จัก Gen AI และใช้งานมากขึ้นแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ที่เริ่มใช้งาน Gen AI ส่วนมากอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการขายส่งขายปลีกมากที่สุด มีสัดส่วนราว 26% และ 19% ตามลำดับ โดยการนำ Generative AI มาใช้นั้นส่วนมากเน้นใช้งานเพื่อเพิ่มความสามารถในการค้นหาความคิดใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจและเกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูล เช่น การค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม การวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (รูปที่ 7)
ในภาพรวม ผลสำรวจพบว่าภาคธุรกิจไทยยังมีความพร้อมไม่มากนักต่อการมาถึงของเทคโนโลยี Generative AI โดยเฉพาะความพร้อมด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและความพร้อมของบุคลากร ซึ่งเป็นปัญหาหลักต่อความพร้อมในการใช้งานของธุรกิจ SMEs สะท้อนช่องว่างเกี่ยวกับแนวปฏิบัติ กรอบแนวทาง และกฎระเบียบด้านการใช้งาน AI ตลอดจนการขาดบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน AI ในการพัฒนาและการนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐในการช่วยสร้างความพร้อมทั้ง 3 ด้านดังกล่าว (รูปที่ 8)


2. การปรับตัวของธุรกิจ SMEs
แม้ SMEs ไทยมากกว่าครึ่งหนึ่งยังไม่ค่อยพร้อมต่อการมาถึงของเทคโนโลยี Gen AI แต่เกือบ 90% มองว่า Gen AI จะมีประโยชน์ต่อบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการขายส่งขายปลีก และอีกส่วนหนึ่งกำลังพยายามหาวิธีการปรับตัวเพื่อเปิดรับการเข้ามาถึงของเทคโนโลยีนี้อยู่ อย่างไรก็ดี ผลสำรวจพบว่าธุรกิจไทยมีมุมมองว่าอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว เกือบครึ่งหนึ่งมองว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 5 ปีในการปรับตัวเพื่อให้สามารถใช้ Gen AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยที่ยังเป็นไปได้ช้า และอาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในโลกที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (รูปที่ 9)
ธุรกิจ SMEs ยังเล็งเห็นโอกาสในการใช้ Gen AI ทดแทนพนักงานบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เน้นใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในการดำเนินงานสูง เช่น การขนส่ง การเงินและการประกันภัย สอดคล้องกับผลการศึกษาข้างต้นที่พบว่า ธุรกิจประเภทนี้มีความพร้อมและเริ่มปรับตัวนำ Gen AI มาใช้งานมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น (รูปที่ 10) จึงเห็นได้ว่าธุรกิจส่วนมากมีแผนการลงทุน Gen AI เพื่อมุ่งเพิ่มทักษะพนักงานและการใช้งานภายในองค์กร โดยเฉพาะด้านการตลาดและการขาย (รูปที่ 11)


3. ความต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ
แม้ธุรกิจ SMEs จะมองเห็นถึงโอกาสในการนำเอา Gen AI มาใช้เพิ่มศักยภาพในอนาคต แต่ก็มีความกังวลต่อการใช้งาน Gen AI โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ Gen AI สร้างขึ้นมาให้ (รูปที่ 12) ธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่มองว่า ยังมีมาตรการจากภาครัฐเพื่อสนับสนุนการใช้งาน Gen AI ไม่เพียงพอในเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะด้านนโยบายความปลอดภัยข้อมูล และการพัฒนาทักษะแรงงาน (รูปที่ 13)


4. มุมมองเชิงลึกของกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เคยและไม่เคยใช้ Gen AI
ผลการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการเชิงลึกสามารถจำแนกผู้ประกอบการออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่เคยใช้งานและไม่เคยใช้งาน Gen AI โดยผู้ประกอบการ (รูปที่ 14) SMEs ทั้ง 2 กลุ่ม มองว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต แต่ยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในด้านความพร้อมในการใช้งาน การปรับตัว ความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากภาครัฐ
• สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยใช้ Gen AI ส่วนมากเพราะยังขาดความพร้อมด้านทักษะแรงงานและความเข้าใจในเทคโนโลยี รวมถึงความกังวลต่อความเสี่ยงจากการใช้งาน เช่น ความปลอดภัยของข้อมูลและเสถียรภาพของระบบ จึงคาดหวังให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการวางกฎเกณฑ์และขอบเขตการใช้งานให้ชัดเจน
• สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ใช้งาน Gen AI อยู่แล้ว มองว่าขั้นตอนหลักในการใช้งาน คือ กระบวนการ Digital transformation เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการและวิธีการทำงานเดิม เพื่อสร้างรากฐานสำหรับการใช้ Gen AI ยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ค่อนข้างเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Generative AI เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยใช้ แต่มีความกังวลในมิติของการ Disruption จากการแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหญ่ในระดับโลก
นัยของการใช้งาน Gen AI กับการยกระดับศักยภาพ SMEs ไทย
มุมมองจากผลสำรวจผู้ประกอบการ SMEs ของ SCB EIC ข้างต้นสะท้อนความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของ SMEs ต่อการใช้ Gen AI ที่ยังมีข้อจำกัดและต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการนำ Gen AI มาใช้ประโยชน์ภายในธุรกิจได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีแนวนโยบายส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจและความมั่นใจในการใช้งาน โดยเฉพาะนโยบายภาครัฐที่จะสร้างระบบนิเวศเอื้อให้ SMEs สามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างปลอดภัย และลดต้นทุนการเข้าถึงได้ ขณะที่ SMEs เองต้องเร่งปรับตัวให้สามารถใช้ประโยชน์ Gen AI ในเชิงธุรกิจได้มากขึ้น ภายใต้เทรนด์โลกและกระแสการปรับตัวทางธุรกิจที่เกิดขึ้นรวดเร็ว
1) นัยต่อภาครัฐ
1.1 พัฒนากำลังคน ควรมีนโยบายส่งเสริมด้านกำลังคนแบบองค์รวม เพื่อให้คนไทยเข้าถึงความรู้ทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับ Gen AI ในวงกว้างและมีความยืดหยุ่นพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทั้งในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานหลากหลายสาขาที่จำเป็นต้องประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานในปัจจุบัน
1.2 ส่งเสริมการใช้งานของธุรกิจ ควรมีนโยบายสนับสนุน SMEs ให้มีความพร้อมและใช้ประโยชน์จาก Gen AI มากขึ้น ผ่านการออกแบบนโยบายจูงใจให้ SMEs ที่มีความพร้อมเริ่มลงทุนใน Gen AI นโยบายสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานกลางด้านดิจิทัลที่จำเป็น และนโยบายเอื้อให้เกิดถ่ายทอดเทคโนโลยีต่อผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน หรือเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มร่วมกัน เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในระดับอุตสาหกรรมหรือสาขาเศรษฐกิจนั้น ๆ
1.3 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ควรมีนโยบายสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานกลางที่จำเป็นต่อการเข้าถึงและใช้งาน Gen AI อย่างปลอดภัยของระบบและข้อมูล ซึ่งธุรกิจ SMEs มีปัจจัยเงินทุนน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่สามารถลงทุนเพื่อเข้าถึงและสร้างโครงสร้างพื้นฐานองค์กรรองรับ AI ได้อย่างเป็นระบบเต็มที่ เช่น ระบบการจัดการข้อมูลและประมวลผล ระบบคลาวด์เทคโนโลยี ระบบโทรคมนาคม รวมถึงการกำกับดูแลการใช้งาน Gen AI อย่างมีความรับผิดชอบและมีธรรมาภิบาล
2) นัยต่อภาคธุรกิจ การใช้งาน Gen AI อย่างแพร่หลายในวงกว้างทั้งในต่างประเทศและไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจไม่อาจหลีกเลี่ยงการปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ภาคธุรกิจจึงควรประเมินความเป็นไปได้ในการวางแผนลงทุนเพื่อนำ AI มาใช้ประโยชน์ในองค์กรในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเตรียมความพร้อมด้านทักษะบุคลากรให้เรียนรู้และประยุกต์ใช้ Gen AI ได้อย่างเหมาะสมบนพื้นฐานการสร้างความเข้าใจร่วมกันของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับต่อการเปิดรับ AI ในองค์กร
การใช้งาน Gen AI ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจผ่านการเพิ่มรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน และลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจเท่านั้น หากประเทศไทยสามารถปลดล็อกข้อจำกัดและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ และแรงงานในธุรกิจทุกขนาดทุกสาขา ให้สามารถปรับตัวใช้งานเทคโนโลยีใหม่ตามกระแสโลกได้อย่างทั่วถึง จะช่วยยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้อีกทาง
สุดท้ายแล้ว “การผสานระหว่างเทคโนโลยี Generative AI และนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะไม่เพียงแต่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ไทยสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จในระยะยาวจะเกิดได้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และ SMEs เองในการเปิดรับและใช้งานเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการวางแผนและการดำเนินการที่สอดคล้องกัน Generative AI จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ SMEs ไทยก้าวสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ” (หมายเหตุ : ย่อหน้าส่งท้ายนี้เขียนโดย Generative AI)”
บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/gen-ai-121224
ผู้เขียนบทวิเคราะห์
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
______
ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ (arak.s@scbx.com)
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)
ดร.ฐิติมา ชูเชิด (thitima.chucherd@scb.co.th)
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC
ดร.นครินทร์ อมเรศ (nakarin.amarase@scb.co.th)
ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างองค์กร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (poonyawat.sreesing@scb.co.th)
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส SCB EIC
พิมพิสุทธิ์ ศรีพวาทกุล (pimpisut.sripavatakul@scb.co.th)
เจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างองค์กร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร
ณัฐณิชา สุขประวิทย์ (Natnicha.Sukprawit@rice.edu)
นักศึกษาปริญญาเอก Jesse H. Jones Graduate School of Business, Rice University