
ธุรกิจ Food Delivery ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชิวิตผู้คนในปัจจุบัน และจากราคาโดรนที่มีแนวโน้มลดลงราว 20% ต่อปี อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้โดรนได้เข้ามามีบทบาทในการส่งอาหารมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนมีการใช้โดรนในธุรกิจ Food Delivery อย่างแพร่หลาย
…
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2572 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า การใช้โดรนในธุรกิจ Food Delivery จะมีความน่าสนใจมากขึ้น และเริ่มมีความคุ้มค่าในการเชิงธุรกิจ โดยคาดว่าการใช้โดรนเพื่อส่งอาหาร จะมีมูลค่า 1.6 พันล้านบาท ในปี 2572 ก่อนขยายตัวเป็น 2 หมื่นล้านบาทnในปี 2577 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 66% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจาก 1) ความคุ้มค่าของโดรนเมื่อเทียบกับการขนส่งแบบดั้งเดิม 2) การตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความรวดเร็ว 3) ช่วยลดปัญหามลพิษภายในเมือง และ 4) ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการควรวางแผนกลยุทธ์ให้สอดรับกับการใช้ระบบโดรน พร้อมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีโดรน เช่น การทดสอบการใช้โดรนในพื้นที่นำร่องที่มีศักยภาพ ส่วนประเทศไทยเองอาจเตรียมความพร้อมด้าน โครงสร้างพื้นฐานรวมถึงพัฒนากฎระเบียบเพื่อรองรับการใช้โดรนในอนาคต
“ธนา ตุลยกิจวัตร” นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS ระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ Food Delivery เติบโตขึ้น อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น และเริ่มคุ้นเคยกับการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายแล้วยังช่วยทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงร้านอาหารต่าง ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ผลสำรวจของ ETDA ระบุว่า 1 ใน 2 ของผู้ที่ใช้บริการ Online Food Delivery ในไทย ได้แก่กลุ่ม Gen Y ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มักมีวิถีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ ประกอบกับหากเป็นการจัดส่งอาหารในช่วงเวลายอดนิยมอย่าง 12.00-14.00 น. หรือ 10.00-12.00 น. อาจทำให้จำนวนพนักงานส่งอาหารมีไม่เพียงพอกับความต้องการ และส่งผลต่อเนื่องให้ระยะเวลาจัดส่งนานกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง สะท้อนจากระยะเวลาจัดส่งต่อออเดอร์ของไทยโดยเฉลี่ยที่สูงถึง 40 นาที นานกว่าในสหรัฐฯ หรือจีนที่ 25-35 นาทีอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งอาหาร Krungthai COMPASS มองว่า “โดรน” มีโอกาสที่จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ Online Food Delivery ของไทยมากขึ้นในอนาคต โดยในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าในปัจจุบัน การใช้โดรนเพื่อขนส่งอาหารทั่วโลกเป็นอย่างไร? และในกรณีของไทยนั้นโอกาสในการใช้โดรนเพื่อส่งอาหารจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?
บทบาทของโดรน ในธุรกิจ Food Delivery
โดรนเริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ Food Deliveryมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีการใช้โดรนเพื่อขนส่งอาหารในหลากหลายประเทศทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Meituan ซึ่งเป็น Application ของประเทศจีน ได้จัดส่งอาหารโดยโดรนไปแล้วกว่า 184,000 รายการ โดยใช้เวลาเพียง 1.5 ปี หลังจากที่เริ่มเปิดให้บริการในปี 2565 นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2567 ร้านอาหารเชนฟาสต์ฟู้ดชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง Wendy’s ได้ร่วมมือกับ DoorDash และ Wing ผู้ให้บริการส่งของรายใหญ่ ในการใช้โดรนเพื่อจัดส่งอาหารของทางร้าน โดยการใช้โดรนในการขนส่งอาหารมีข้อดีหลายประการ ได้แก่
+ จัดส่งเร็วขึ้น 150% เหลือเพียง 12 นาที/ออเดอร์ เนื่องจากโดรนสามารถข้ามการจราจรและอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ทำให้ส่งอาหารถึงมือของลูกค้าได้เร็วขึ้น โดย Meiture ซึ่งเป็น Application ในจีนที่ให้บริการในเมืองเซินเจิ้น เป็นหลัก กล่าวว่าการใช้โดรนสามารถลดระยะเวลาในการจัดส่งอาหารจากออเดอร์ละ 30 นาที เหลือเพียง 12 นาที ขึ้นเร็ว 150% เมื่อเทียบกับการขนส่งแบบดั้งเดิม
+ ลดต้นทุนการขนส่ง 20% เนื่องจากสามารถประหยัดค่าจ้างพนักงานส่งของ และค่ารถส่งของได้ โดยร้านพิซซ่าเจ้าดังในสหรัฐฯ อย่าง Domino Pizza ชี้ว่าการใช้โดรนสามารถประหยัดต้นทุนการขนส่งราว 20%

+ การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล โดรนสามารถส่งอาหารไปยังพื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น เขตชุมชนห่างไกล หรือพื้นที่ที่ไม่มีบริการจัดส่งแบบปกติ ยกตัวอย่างเช่น Zipline ใช้โดรนเพื่อส่งเวชภัณฑ์และอาหารให้กับชุมชนที่อยู่ห่างไกลในรวันดา โดยเฉพาะในพื้นที่ยากลำบาก
+ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปกติโดรนจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้โดยเฉลี่ยโดรนมีการปล่อย GHGs น้อยกว่าจักรยานยนต์ ICE กว่า 2 เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้โดรนในการขนส่งอาหารจะมีข้อดีค่อนข้างมาก แต่ก็ยังคงมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาอีกหลายประการเช่นกัน ได้แก่
- กฎระเบียบและข้อบังคับ ของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ อีกทั้งหลายประเทศยังไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้โดรน
- ขีดจำกัดด้านการบรรทุกน้ำหนัก โดยเฉลี่ยแล้วโดรนจะบรรทุกได้ราว 2-9 กิโลกรัม ทำให้ไม่สามารถขนส่งได้เท่ารถยนต์หรือจักรยานยนต์
- ข้อจำกัดด้านสภาพอากาศ โดรนอาจไม่สามารถบินได้ในสภาพอากาศที่ไม่ดี เช่น ฝนตก หรือมีลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการขนส่ง
- ต้นทุนในการลงทุนที่สูงในช่วงแรก สำหรับเทคโนโลยีโดรนและการตั้งค่าระบบการจัดส่ง ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และระบบที่เลือกใช้ รวมถึงยังต้องมีต้นทุนในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง

โอกาสที่ “โดรน” จะถูกนำมาใช้ ในธุรกิจ Online Food Delivery ไทย มีแค่ไหน?
แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยยังมีการนำโดรนมาใช้ในการจัดส่งอาหารในเชิงพาณิชย์ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีหลายฝ่ายเริ่มมีการทดลองนำเทคโนโลยีโดรนเข้ามาใช้ในการขนส่งอาหารบ้างแล้ว เช่น ในปี 2566 บริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด ได้มีการเปิดให้บริการโดรนสำหรับส่งสินค้าและอาหารในเชิงพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีโดรนในการส่งอาหารเชิงพาณิชย์ จำเป็นต้องมีความรู้ในการบริหารจัดการระบบโดรน รวมถึงต้องลงทุนในอุปกรณ์ที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วไป ดังนั้น ผู้ให้บริการด้าน Food Delivery ที่มีการใช้โดรนส่งอาหารในปริมาณ Order ที่สูงและครอบคลุมหลากหลายพื้นที่ อาจมีความคุ้มค่ามากกว่าในการลงทุนในเทคโนโลยีโดรน
โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในอนาคตโดรนจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ Food Delivery ของประเทศไทยมากขึ้น จากปัจจัยสนับสนุน 4 ข้อ
1) ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการขนส่งแบบดั้งเดิม ทั้งในมิติค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงาน และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา โดย PwC ประเมินว่าในปี 2567 ค่าใช้จ่ายโดยรวมในการใช้โดนเพื่อการขนส่งสินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6–25 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง แต่ในปี 2577 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายในการใช้โดรนเพื่อการขนส่งสินค้าจะลดลงเหลือ 2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง หรือลดลงมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน อีกทั้งโดรนยังใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งถูกกว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ในบริบทของประเทศไทยแม้ว่าการใช้โดรนในการส่งอาหารในปัจจุบันอาจมีความคุ้มค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการส่งอาหารแบบดั้งเดิมโดยใช้รถจักรยานยนต์ แต่จากราคาของเทคโนโลยีโดรนที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งสวนทางกับค่าแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทาง Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2572 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า การใช้โดรนในธุรกิจ Food Delivery จะมีความน่าสนใจมากขึ้น และเริ่มมีความคุ้มค่าในการเชิงธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่เคยศึกษาการใช้โดรนในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย โดยคาดว่าในปี 2572 การใช้โดรนจะมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2.2-2.8 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของโดรนที่ประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการคืนทุนยังขึ้นอยู่กับอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือ อัตราการใช้โดรน (%Utilization) โดยหากผู้ลงทุนมีการใช้ %Utilization ของโดรนต่ำ ก็จะยิ่งทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

2) ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการด้าน Food Delivery สูง โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าชี้ว่า รายได้ของธุรกิจร้านอาหารในกรุงเทพฯ ในปี 2566 มีสัดส่วนถึง 82.5% ของรายได้ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก LINE MAN Wongnai ระบุว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์ม LINE MAN Wongnai มีผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สะท้อนว่าในแต่ละวันมีการสั่งอาหารแบบ Delivery เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น การใช้โดรนในการส่งอาหารจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่ติดขัดและช่วยให้ส่งอาหารได้เร็วขึ้น ส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของอาหารไว้ได้ รวมถึงยังช่วยลดปริมาณรถจักรยานยนต์ที่ต้องใช้ในการส่งอาหารลงได้ ซึ่งมีส่วนช่วยลดปัญหาการจราจรในเมือง อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ดี เช่น สัญญาณ GPS ที่แม่นยำ และการเข้าถึงเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยสนับสนุนการส่งข้อมูลและการนำทางของโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) ช่วยลดปัญหามลพิษภายในเมือง การใช้โดรนในการขนส่งอาหารยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ เนื่องจากโดรนใช้พลังงานจากไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก รวมถึงยังช่วยลดปริมาณยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในการส่งอาหาร ทำให้ปัญหามลพิษภายในเมืองใหญ่ เช่น ฝุ่น PM 2.5 บรรเทาลงได้ โดยในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีค่า Air Quality Index (AQI) ถึง 165 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก ซึ่งการใช้โดรนในการขนส่งอาหารจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 30%-50% เทียบกับการใช้รถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน
4) ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลน Rider โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ช่วงพักกลางวัน หลังเลิกงาน หรือในช่วงเทศกาล ที่มีความต้องการสั่งซื้ออาหาร Online เป็นจำนวนมาก รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ Food Delivery ส่งผลให้ปัญหาการแย่งชิงพนักงาน Rider ทวีความรุนแรงขึ้น และด้วยจำนวนพนักงาน Rider ที่มีจำกัด ทำให้พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับปริมาณงานเป็นจำนวนมาก โดยจากผลสำรวจพบว่ามีพนักงาน Rider มากกว่า 37% ต้องทำงานมากกว่า 8 ชม. ต่อวัน และ กว่า 40% เป็นผู้ที่เข้ามาทำเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น การใช้โดรนอาจช่วยแบ่งเบาภาระงานของพนักงานลงได้ และช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการระบบการจัดส่งอาหารได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาด Food Delivery มีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

หมายเหตุ:
- ธุรกิจ Food Delivery ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชิวิตของผู้คนในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ จากความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของผู้บริโภคตั้งแต่ช่วงเกิดการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าปัจจุบันการใช้โดรนเพื่อขนส่งอาหารในไทยจะยังมีความคุ้มค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการใช้รถจักรยานนต์ แต่ด้วยราคาของเทคโนโลยีโดรนที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคต โดรนจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ Food Delivery ในประเทศไทยมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ จีน เป็นต้น
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าในปี 2572 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า การใช้โดรนเพื่อขนส่งอาหารในธุรกิจ Food Delivery จะมีมูลค่าราว 1.6 พันล้านบาท และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2577 อาจมีมูลค่าถึง 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 66% ต่อปี

และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้โดรนในธุรกิจ Food Delivery ของไทย ผู้ประกอบการควร 1) วางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการใช้ระบบโดรน เช่น การออกแบบระบบคำสั่งซื้อและระบบติดตาม ที่สามารถเชื่อมต่อกับโดรนได้ ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้โดรนในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงการประเมินรูปแบบทางธุรกิจที่อาจได้รับประโยชน์จากใช้โดรนในอนาคต เช่น การจัดส่งด่วนในระยะสั้น หรือการส่งในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น 2) ศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีโดรน เช่น อาจศึกษาและทดสอบการใช้โดรนในพื้นที่นำร่องที่มีศักยภาพ เพื่อทดสอบการใช้งานจริงในบริบทต่างๆ ทั้งในด้านของเทคนิคและการดำเนินงาน เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในอนาคตทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน และการประเมินความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทยเองอาจ 1) เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การจัดตั้งสนามทดสอบโดรนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทดสอบการบินโดรนในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงพัฒนาระบบจัดการการจราจรทางอากาศของอากาศยานไร้คนขับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้โดรน นอกจากนี้ อาจมีการจัดตั้งพื้นที่นำร่องพิเศษที่อนุญาตให้ใช้โดรนเชิงพาณิชย์ เช่น พื้นที่ชนบทหรือในเมืองขนาดเล็ก ก่อนที่จะขยายไปสู่พื้นที่ที่มีความซับซ้อนสูงในเมืองใหญ่ๆ 2) พัฒนากฎหมายและนโยบายเพื่อรองรับการใช้โดรนในอนาคต เช่น กำหนดเส้นทางการบินสำหรับโดรนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากร เพื่อให้โดรนไม่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่งทางอากาศอื่น ๆ รวมถึงควรมีการกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มาตรฐานสำหรับโดรนที่ใช้ในการขนส่งอาหาร เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้โดรนจะมีความปลอดภัยและใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ