
วันก่อนมีโอกาสได้ดูรายการที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ จัดรายการ SONDHI TALK หลังจากที่ไม่ได้ติดตามมานานแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าคุณสนธิก็ยังคงมีทีเด็ดที่หากลองได้ชักธงรบกับใครแล้ว เป็นได้ฟัดจมเขี้ยวแบบไม่มีลดลาวาศอก
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าตัวลุกขึ้นมาฟัด "หมอไห่ - ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์" ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ "กสทช." กรณีขาดคุณสมบัติการเป็นประธาน และกรรมการ กสทช. มาตั้งแต่ต้น โดยมีหลักฐานมัดแน่นประเภท "ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดได้หรือ?"
พร้อมกับระบุว่า เรื่องนี้ตัวนายกรัฐมนตรี "อุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร" ก็รับรู้แต่เก็บงำเงียบ ซุกปมฉาว เสี่ยงผิด ม.112 - 157 สุ่มเสี่ยงที่นายกฯ จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ส่วนรายละเอียดการขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งกรรมการ กสทช. และประธาน กสทช. นั้น ก็เป็นผลสรุปที่ได้จากคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือ กมธ.ไอซีที วุฒิสภา ที่มีการตรวจสอบเรื่องนี้เอาไว้ และเป็นประเด็นเดียวกับที่ "แก่ง หินเพิง" เคยตีแผ่ไปแล้วก่อนหน้านี้
โดยผลการตรวจสอบของ กมธ.ไอซีที ที่ได้รับเอกสารจากมหาวิทยาลัยมหิดลนั้น ยืนยันชัดเจนว่า "ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ" ยังคงเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. แล้ว ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้ต้องลาออกก่อนสมัครเข้ารับการสรรหาอย่างน้อย 1 ปี
อีกทั้งข้อมูลจากแบบ ภ.ง.ด.90 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงปี 2564-66 ยังพบว่า "หมอไห่" ยังคงได้รับรายได้จากคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงบริษัทเอกชน เช่น บริษัท เมอร์ค จำกัด ธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ระดับโลก แม้จะดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. ซึ่งขัดมาตรา 8 มาตรา 18 และมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (พ.ร.บ.กสทช.) อย่างชัดเจน
"เรื่องนี้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง รับรู้มาตั้งแต่แรก แต่กลับยังไม่ทำเรื่องเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ถือเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงหมิ่นพระบรมเดชนนุภาพอย่างยิ่ง ซึ่งหากนายกฯ ยังคงเก็บงำซุกปมเรื่องนี้เอาไว้ ก็สุ่มเสี่ยงจะโดนข้อหา ม.157 และสุ่มเสี่ยงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย"

ข้อมูลใหม่ที่คุณสนธิเปิดออกมาล่าสุด ก็คือ การที่ "หมอไห่" ขณะที่ยังคงสภาพเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยในช่วงปี 2564-66 นั้น เจ้าตัวมีรายได้จากบริษัทเอกชนซึ่งในจำนวนนี้ก็รวมถึงรายได้จากบริษัท เมอร์ค จำกัด บริษัทยาระดับโลกจากเยอรมันด้วย
ตรงนี้แหละที่ทำเอาหลายคนถึงกับ "หูผึ่ง" การที่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์หมอและหมอรักษาคนไข้ ได้รับเงินจากบริษัทยานั้น หมายความว่าอย่างไร แกคงไม่ได้เป็นที่ปรึกษาบริษัทยาแน่ เพราะเป็นข้าราชการมหาวิทยาลัยอยู่ คงไม่สามารถจะโดดไปรับจ๊อบเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาบริษัทยาได้แน่
จึงก่อให้เกิดคำถามว่า เงินพิเศษที่หมอได้รับจากบริษัทยารายนี้คือเงินอะไร เป็น "เงินสวัสดิการ" หรือ "ค่าคอมมิชชั่น" จากบริษัทยาที่ได้จากการช้อปยาหรือสั่งยาเข้า รพ.หรือไม่
หากเรื่องนี้เป็นจริงก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ผิด “จรรยาบรรณแพทย์” หรือไม่ เป็นการดำเนินการที่สวนนโยบายรัฐ คือ กระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ และที่ไม่รู้แพทยสภาจะว่าอย่างไร?
เพราะมันแทบไม่ต่างจากขบวนการทุจริตยาที่กำลังเป็นข่าวคึกโครมใน รพ.ทหารผ่านศึก และ รพ.พระมงกุฎเกล้า ในเวลานี้ก็ว่าได้
แก่งหินเพิง